อีกไม่ถึง 24 ชั่วโมงข้างหน้า จะเข้าสู่ 24 มิถุนายน 2564 อดีต ‘วันชาติ’ ประจำปีที่สังคมไทย (ถูกทำให้) หลงลืม
ที่น่าสนใจคือประวัติศาสตร์ชาติไทยที่คุ้นเคย ท่องจำ และฝังแน่นในความคิดของผู้คนมากมาย เป็นไปในโครงสร้างที่เป็น ‘เส้นตรง’ จากเหนือลงใต้ จากไทม์ไลน์แบบเป็นขั้นเป็นตอน
ไม่ว่าจะเป็น
1.ชนชาติไทยเชื้อชาติไทยอันบริสุทธิ์ผุดผ่องปราศจากสิ่งเจือปน มีถิ่นกําเนิดอยู่ทางตอนเหนือๆ ของจีน แต่ถูกรุกรานจากจีนจึงต้องอพยพลงทางใต้
2.อาณาจักรน่านเจ้าเป็นของชนชาติไทยเชื้อชาติไทย อยู่ทางตอนใต้ของจีน ต่อมาถูกจีนรุกรานรุนแรง ทําให้คนไทยต้องอพยพ ‘ถอนรากถอนโคน’ จากอาณาจักรน่านเจ้าหนีลงทางใต้อีกครั้งหนึ่ง
3.ชนชาติไทยเชื้อชาติไทยเข้าไปตั้งหลักแหล่งใหม่ในดินแดนไทยปัจจุบัน ซึ่งเป็นของมอญและขอม (เขมร) จึงต้องยอมเป็นขี้ข้ามอญและขอม ต่อมาชนชาติไทยเชื้อชาติไทย “ปลดแอก” จากขอม แล้วตั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรก
4.กรุงสุโขทัยราชธานีแห่งแรกของคนไทย ต่อมาสมัยพ่อขุนรามคําแหงมีอํานาจขยายอาณาเขตกว้างไกลถึงทะเลสมุทรสุดแหลมทอง หลังจากนั้นมีพวกมลายูเข้ามาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภารพ่อขุนราม
คําแหง แล้วจัดตั้งเมืองปัตตานี
5.ต่อมากรุงสุโขทัยเสื่อมโทรมลงไป ทําให้พระเจ้าอู่ทองพาไพร่พลหนีโรคห่าจากเมืองอู่ทอง แล้วสร้างเมืองใหม่ชื่อกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีแห่งที่สอง เมื่อ พ.ศ.1893 จากนั้นสืบเนื่องเป็นกรุงธนบุรี, กรุงรัตนโกสินทร์
เหล่านี้ คือ สิ่งที่ถูก ‘ผลิตซ้ำ’ ตลอดมา โดยเฉพาะจากรัฐราชการไทย แม้ถูกทักท้วงหลายต่อหลายครั้งว่าไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง
ในค่ำคืนของวันพรุ่งนี้ ขรรค์ชัย บุนปาน และ สุจิตต์ วงษ์เทศ เตรียมปลดแอกประวัติศาสตร์ชาติไทยผ่านรายการ ‘ขรรค์ชัย-สุจิตต์ ทอดน่องท่องเที่ยว’ ตอน ‘ชาติที่ต้องปลดแอก ประวัติศาสตร์ชาติไทย นิยายการเมือง’
พร้อมตีแผ่ปมปัญหาตั้งแต่นิยามคำว่า ‘ชาติ’ และ ‘เชื้อชาติ’ ซึ่ง 2 ผู้อาวุโสยืนยันว่า ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่โดยตัวของมันเองตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหา แต่เป็นสำนึกใหม่ จินตกรรมใหม่ที่เพิ่งมีในยุโรปไม่นานมานี้แล้วแพร่ถึงสยามในสมัยรัชกาลที่ 5
“ก่อน ร.5 ไม่มีชาติ และไม่มีเชื้อชาติหมายความว่ารัฐอยุธยา, รัฐสุโขทัย, รัฐล้านนา, รัฐนครศรีธรรมราช, รัฐศรีโคตรบูร ฯลฯ ไม่มีชาติไทยและเชื้อชาติไทย แต่ประวัติศาสตร์ชาติไทยถูกประพันธ์โดยชนชั้นนำให้มีชาติไทยและเชื้อชาติไทยตั้งแต่ยุคพระเจ้าเหา แล้วมีในทุกสมัยที่กล่าวมา
ประวัติศาสตร์ชาติไทยฉบับนิยายนํ้าเน่าทางการเมือง มีโครงสร้างเป็นเส้นตรงจากเหนือลงใต้ซึ่งล้วนไม่เป็นจริง ซึ่งเคยมีผู้เขียนทักท้วงเรื่องนี้หลายคนและหลายครั้งแล้ว แต่ยังต้องผลิตซํ้า เพราะรัฐราชการไทยยังไม่เลิกใช้งาน” สุจิตต์เกริ่น
ประวัติศาสตร์ชาติไทยฉบับที่ว่านี้ มักแบ่งตามลักษณะศิลปกรรมทางศาสนาที่รับจากอินเดียออกเป็น 7 สมัย ได้แก่ 1.สมัยทวารวดี 2.สมัยศรีวิชัย 3.สมัยลพบุรี 4.สมัยเชียงแสน 5.สมัยสุโขทัย 6.สมัยอยุธยา 7.สมัยรัตนโกสินทร์
“สมัยลพบุรีในประวัติศาสตร์ชาติไทย ได้ชื่อจากศิลปะลพบุรี โดยคําว่า ลพบุรี เป็นชื่อสมมุติขึ้นใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงคําว่าเขมร เนื่องจากช่วงเวลาที่แต่งตํารากําหนดรูปแบบศิลปกรรมชุดนี้อยู่ในสมัยเหยียดเชื้อชาติตามแนวคิดแบบอาณานิคม ทั้งนี้เพราะงานช่างศิลปะที่พบล้วนเป็นแบบเขมร เนื่องจากลพบุรีมีชื่อเดิมว่า
ละโว้ เป็นรัฐเครือญาติเครือข่ายใกล้ชิดมากกับเขมรของอาณาจักรกัมพูชา แต่คนในวัฒนธรรมลาวเรียกขอม ช่วงก่อน 14 ตุลาคม 2516 ใครคิดต่างจากแนวนี้ถือเป็นพวกคอมมิวนิสต์, พวกทําลายความเป็นไทย, พวกขายชาติ โอกาสถูกใส่ร้ายหมายหัวจนติดคุกมีสูงมาก” ขรรค์ชัย-สุจิตต์แย้มน้ำจิ้มก่อนจัดเต็มคืนพรุ่งนี้
หนังสือ ‘ปลดแอกชาติ’ ผลงาน ฐนพงศ์ ลือขจรชัย โดยสำนักพิมพ์มติชน ซึ่งพิมพ์ครั้งแรกหมาดๆ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาถูกนำมาใช้อ้างอิงอย่างเข้มข้นในหลายช่วงหลายตอน
โปรยปกหลังระบุว่า
‘เมื่อคุณได้เริ่มต้นอ่านหนังสือเล่มนี้ จงลืมชาติที่ท่องจำกันมาตั้งแต่เล็กทิ้งไป เพราะสิ่งที่จะได้เห็นต่อไปนี้ คือร่างที่แท้จริงของชาตินับตั้งแต่ชาติอุบัติขึ้นในประเทศไทย มันได้กลายเป็นสนามต่อสู้ทางการเมืองที่บ้าเลือด แต่ลี้ลับไม่มีใครรู้เห็น …….
กำปั้น หยดเลือด และน้ำตา ในสงครามยุดแย่งชาติของราษฎรที่ถูกปกปิดในประวัติศาสตร์ฉบับทางการจะถูกเปิดเผย เรื่องราวการย่ำยีบีฑาบนสังเวียนการเมือง’
เป็นอีก 1 ตอนต้องติดตามในห้วงยามที่การเมืองไทยร่วมสมัยยังมากมายด้วยความเคลื่อนไหวไม่หยุดยั้ง และย่อมปรากฏบนไทม์ไลน์ประวัติศาสตร์ต่อไปในวันพรุ่งนี้
สร้อยดอกหมาก สุกกทันต์