“30 บาทรักษาทุกโรค”…ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ “สิทธิบัตรทอง” นับตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมา…“ประเทศไทย” ในฐานะประเทศกำลังพัฒนา การให้สิทธิรักษาพยาบาลฟรีแก่ประชาชนกว่า 48 ล้านคน อาจจะกล่าวได้ว่า…ไม่ต่างไปจากปาฏิหาริย์
นอกจากชื่อของ นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ผู้ปลุกปั้นระบบแล้ว เบื้องหลังการวางรากฐานจนประสบผลสำเร็จยังเต็มไปด้วยแรงสนับสนุนจากชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่ง
แอนน์ มิลส์ (Anne Mills) ศาสตราจารย์ด้านนโยบายและเศรษฐศาสตร์สุขภาพ และรองผู้อำนวยการ London School of Hygiene and Tropical Medicine วิทยาลัยภายใต้มหาวิทยาลัยลอนดอน ผู้ที่มีบทบาทสำคัญ กล่าวไว้ว่า ปัจจัยที่ทำให้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติของประเทศไทยมีเสถียรภาพและเดินหน้าได้รวดเร็วกว่าประเทศอื่นๆเป็นเพราะความกล้าหาญของรัฐบาล…
ผ่านมาถึงวันนี้พอจะสะท้อนภาพที่ชัดเจนได้ว่า “4 นโยบายยกระดับบัตรทอง” ของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข มีประสิทธิภาพและจับต้องได้จริง
ไม่ใช่แค่ “นโยบายขายฝัน” ที่เอาแต่หวังผลทาง “การเมือง” เพียงอย่างเดียว

“ระบบบริการสุขภาพในฝัน” ของผู้ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ทั่วประเทศ คือ…การเข้าถึงการรักษาอย่างสะดวกสบาย… มีศักดิ์ศรีเสมอหน้ากับผู้ใช้ระบบสุขภาพอื่น
ซึ่งจากคำประกาศของ รมว.สาธารณสุข ที่ตั้งใจ จะพัฒนา 30 บาท รักษาทุกโรค…ไปสู่ 30 บาท รักษาทุกที่ จึงทำให้คนกว่าครึ่งค่อนประเทศรู้สึกมีความหวัง
จับตาไปที่การเดินหน้านโยบาย “โรคมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ได้ที่พร้อม” 1 ใน 4 นโยบายยกระดับบัตรทอง…ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติยุคใหม่ ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา
ตอกย้ำว่า นั่นไม่ใช่ความหวังลมๆแล้งๆอีกต่อไป ที่เปิดช่องให้ผู้ป่วยมะเร็งกับแพทย์สามารถหารือร่วมกันได้ว่า…“ควรจะให้ผู้ป่วยรักษาตัวที่โรงพยาบาลใด”

เงื่อนไขสำคัญคือ ต้องเป็นโรงพยาบาลที่มีศักยภาพในการรักษามะเร็งประเภทนั้นๆ และต้องมีคิวรอการรักษาที่ไม่นาน นั่นเพราะ…โรคมะเร็ง ยิ่งรักษาไว ยิ่งมีโอกาสหายขาด
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะผู้บริหาร สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ลงพื้นที่จังหวัดลำปาง-เชียงใหม่ เพื่อเยี่ยมชมการดำเนินการของโรงพยาบาลภายใต้นโยบายข้างต้นนี้ พบว่าโรงพยาบาลต่างขานรับและเล็งเห็นผลเลิศจากนโยบายแทบทั้งสิ้น
จังหวัดลำปาง-เชียงใหม่เป็นสมาชิกของเขตสุขภาพที่ 1 มี 8 จังหวัด… ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา แม่ฮ่องสอน… โดยเฉลี่ยจะมี “ผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่” ปีละราวๆ 3,500 ราย
ย้อนภาพวันวานในอดีต เขตสุขภาพที่ 1 มีโรงพยาบาลที่มีศักยภาพในการรักษามะเร็งด้วยการฉายรังสีเพียง 2 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ และโรงพยาบาลมะเร็งลำปาง
สิ่งที่เกิดขึ้น…ทำให้ผู้ป่วยต้องรอคิวการรักษาที่ยาวนาน กระทั่งเดือน พ.ย.2562 ทางเขตสุขภาพที่ 1 ได้ตัดสินใจทุ่มทรัพยากร…เพื่อยกระดับโรงพยาบาลให้มีศักยภาพเพิ่มอีก 1 แห่ง คือ โรงพยาบาลนครพิงค์
ปัจจุบันทั้ง 3 โรงพยาบาลนี้ให้บริการอย่างสอดประสาน เชื่อมต่อข้อมูลการรักษา-ส่งต่อผู้ป่วยได้อย่างเป็นระบบ ปัญหาการรอคิวการรักษาจึงเริ่มคลี่คลายลง

นพ.วีรวัต อุครานันท์ โรงพยาบาลมะเร็งลำปาง จ.ลำปาง เล่าให้ฟังว่า โรงพยาบาลมะเร็งลำปางเป็นโรงพยาบาลที่มีศักยภาพความพร้อมในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งอย่างครบวงจร ตั้งแต่การตรวจวินิจฉัย การบำบัดรักษาด้วยเคมีบำบัด ผ่าตัด รังสี ทำให้…มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่มีนโยบาย “โรคมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ได้ที่พร้อม” ทำให้โรงพยาบาลมะเร็งลำปางสามารถบริหารจัดการเรื่องคิวรอการรักษาได้อย่างดีเยี่ยม สามารถ…หาคิวที่สั้นที่สุดของโรงพยาบาลที่มีศักยภาพที่อยู่ใกล้เคียงให้ผู้ป่วยไปรักษาได้อย่างรวดเร็ว
“ผู้ที่เข้ามาตรวจคัดกรองและพบว่าเป็นมะเร็งในระยะแรกก็จะสามารถเข้ารับการรักษาได้ทันที หมายความว่า…เมื่อรู้เร็ว รักษาเร็ว ก็มีโอกาสที่จะรักษาให้หายขาดได้ นโยบายนี้ช่วยให้ผู้ป่วยไม่ต้องรอคิวการรักษายาวนานเหมือนในอดีตอีกต่อไป” นพ.วีรวัต ทิ้งท้าย

นพ.วรเชษฐ เต๋ชะรัก ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครพิงค์ เสริมว่า โรงพยาบาลนครพิงค์ ได้เริ่มดำเนินงานตามนโยบาย “โรคมะเร็งรักษาที่ไหนก็ได้ที่พร้อม (Cancer Anywhere)” มาตั้งแต่ต้นปี
ผู้ป่วยมะเร็งสิทธิบัตรทองสามารถเข้ารับการรักษาได้โดย “ไม่ต้องใช้ใบส่งตัว” ครอบคลุมทั้งการผ่าตัด การให้ยาเคมีบำบัด ยาต้านฮอร์โมน การฉายรังสี รวมถึงการตรวจติดตามหลังการรักษา
แน่นอนว่า…ทำให้ “ผู้ป่วย” เข้าถึงการรักษาโรคมะเร็งได้อย่าง “สะดวก” และ “รวดเร็ว” ยิ่งขึ้น
สำหรับศูนย์รังสีรักษามะเร็งของโรงพยาบาลนครพิงค์ มีศักยภาพในการตรวจรักษามะเร็งได้ครบวงจร ตั้งแต่การคัดกรอง การตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการและรังสีวินิจฉัย การรักษาโดยการผ่าตัด การให้เคมีบำบัด ยารักษามะเร็งแบบมุ่งเป้า (Targeted therapy) ยาภูมิคุ้มกัน (Immunotherapy) และการฉายรังสี
โดยมีเครื่องฉายรังสีแบบปรับความเข้มแสง 4 มิติ เครื่องจำลองการฉายรังสีแบบ 4 มิติ และให้การรักษาด้วยการฝังแร่ระบบ 3 มิติอีกด้วย…ปัจจุบันจึงช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ป่วยมีทางเลือกในการรับการรักษา และลดเวลาการรอคอยได้อย่างมีนัยสำคัญ
นพ.วรเชษฐ ย้ำว่า ศักยภาพของเราแค่เฉพาะเรื่องของการฉายแสง เราให้บริการผู้ป่วยต่อปีเกือบ 700 ราย ทำให้ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งสามารถเข้ารับการรักษาได้เร็วมากขึ้น ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และมีโอกาสที่จะรักษามะเร็งสำเร็จรวดเร็วขึ้น

“โรคมะเร็ง” ไปรับบริการที่ไหนก็ได้ที่พร้อม เป็นหนึ่งใน 4 บริการตามนโยบายยกระดับบัตรทอง โดยผู้ป่วยสิทธิบัตรทองที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็ง สามารถเข้ารับบริการรักษาในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพแห่งใดก็ได้ในระบบบัตรทองที่มีความพร้อมในการให้บริการ นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการ สปสช. ย้ำว่า…การรักษาที่ว่านี้ครอบคลุมตั้งแต่การตรวจวินิจฉัยไปจนถึงการรักษา โดยไม่ต้องใช้หนังสือส่งตัว
“นโยบายนี้เป็นการกระจายระบบบริการดูแลผู้ป่วยมะเร็งไปยังแต่ละหน่วยบริการ จะพิจารณาถึงศักยภาพ…ระยะเวลารอการรักษาผ่านระบบเชื่อมโยงข้อมูล…ระบบการส่งต่อระหว่างกัน ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อผู้ป่วยโรคมะเร็งไม่ต้องรอคอยคิวนาน…ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที”
นอกจากนโยบาย “โรคมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ได้ที่พร้อม” แล้ว ยังประกาศอีก 3 นโยบายสำคัญได้แก่…ประชาชนที่เจ็บป่วยไปรับบริการกับหมอประจำครอบครัวในหน่วยบริการปฐมภูมิที่ไหนก็ได้ภายในเครือข่าย, ผู้ป่วยในไม่ต้องกลับไปรับใบส่งตัว, ย้ายหน่วยบริการเกิดสิทธิทันทีไม่ต้องรอ 15 วัน
สิทธิทั้งหมดเหล่านี้คือ “อิฐก้อนแรก” ที่ก่อขึ้นเป็นวิมานในความเป็นจริง เพื่อยกระดับบัตรทองจาก… “30 บาทรักษาทุกโรค” สู่ “30 บาทรักษาทุกที่”.

