เหนืออ่วมฝุ่นพิษวิกฤติมาก ต.จองคำ อ.เมืองแม่ฮ่องสอน หนักสุด พบค่าฝุ่น 263 มคก./ลบ.ม. จากค่ามาตรฐาน 50 มคก./ลบ.ม. ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง
อังคารที่ 9 มีนาคม 2564 เวลา 10.52 น.
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 9 มี.ค. ศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) รายงานการติดตามตรวจสอบคุณภาพอากาศ ปริมาณ PM2.5 ในประเทศพบเกินค่ามาตรฐานใน จ.เชียงราย จ.น่าน จ.แม่ฮ่องสอน จ.พะเยา จ.เชียงใหม่ จ.ลำพูน จ.ลำปาง จ.ตาก จ.อุบลราชธานี และ จ.บุรีรัมย์
ภาคเหนือ เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ พบค่าฝุ่นระหว่าง 28 – 263 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) (ค่ามาตรฐานไม่เกิน 50 มคก./ลบ.) พบพื้นที่สีแดง 9 พื้นที่ ได้แก่ ค่าฝุ่นสูงสุดอยู่ที่ ต.จองคำ อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน 263 มคก./ลบ.ม., ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย จ.เชียงราย, ต.เวียง อ.เมือง จ.เชียงราย, ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่, ต.ศรีภูมิ อ.เมือง จ.เชียงใหม่, ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่, ต.บ้านดง อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง, ต.บ้านต๋อม อ.เมือง จ.พะเยา และต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก นอกจากนี้ยังพบค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน (พื้นที่สีส้ม) 4 พื้นที่ ได้แก่ ที่บริเวณ รพ.เทพรัตนฯ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่, ต.พระบาท อ.เมือง จ.ลำปาง, ต.ห้วยโก๋น อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.น่าน และต.บ้านกลาง อ.เมือง จ.ลำพูน
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เกินค่ามาตรฐาน 2 พื้นที่ ตรวจวัดได้ 25 – 72 มคก./ลบ.ม. ภาคกลางและตะวันตก ภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดี ตรวจวัดได้ 12 – 42 มคก./ลบ.ม. ภาคตะวันออก ภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดีมาก ตรวจวัดได้ 14 – 26 มคก./ลบ.ม. ภาคใต้ ภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดีมาก ตรวจวัดได้ 9 – 22 มคก./ลบ.ม.

ด้านนายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า หลายพื้นที่ในภาคเหนือเกิดสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง PM2.5 อย่างต่อเนื่อง กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) โดยปภ. กระทรวงมหาดไทย ได้บูรณาการกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 อย่างเต็มกำลัง โดยในส่วนของพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ตลอดจนพื้นที่จังหวัดในภาคอื่น ๆ ที่มีพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า ได้กำชับให้จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เน้นการบูรณาการแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 โดยในห้วงเดือน ม.ค. – เม.ย. 2564 ซึ่งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมกับ กองทัพภาคที่ 3 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เฝ้าระวังและติดตามแนวโน้มสถานการณ์ภัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อวางแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด ขณะนี้ได้เพิ่มความเข้มข้นในการปฏิบัติการ โดยจัดทีมประเมินสถานการณ์ติดตามและประเมินสถานการณ์เป็นประจำทุกวัน รวมถึงประชุมผ่านระบบประชุมทางไกลกับศูนย์อำนวยการประสานงานกองบัญชาการควบคุมสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองภาคเหนือเป็นประจำทุกวันศุกร์ เพื่อชี้เป้าการแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว ประสานจังหวัดดำเนินการตามกฎหมายและแผนว่าด้วยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยเฉพาะการจัดทำแผนเผชิญเหตุ การติดตามสถานการณ์และแจ้งเตือน การป้องกันการเกิดมลพิษที่ต้นทาง

พร้อมกำชับพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ และพื้นที่ที่มีพื้นที่ป่าให้ถือปฏิบัติตามมาตรการ 4 พื้นที่ 5 มาตรการบริหารจัดการ อย่างเคร่งครัด รวมถึงได้เพิ่มความเข้มงวดในการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก โดยเฉพาะมาตรการควบคุมการเผาในพื้นที่โล่งทุกประเภท บูรณาการข้อมูลและใช้เทคโนโลยีเพื่อเสริมประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาและลดผลกระทบจากไฟป่า โดยกระทรวงมหาดไทย ได้ประสานสั่งการให้ 17 จังหวัดภาคเหนือใช้ระบบบัญชาการดับไฟป่าผ่านทาง Line chatbot FiremanTH ตามแนวทางของสำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี เพื่อเพิ่มช่องทางในการบัญชาการดับไฟป่าของผู้บัญชาการเหตุการณ์ทั้งในระดับจังหวัด และอำเภอ รวมถึงยังเป็นการเสริมประสิทธิภาพในการเผชิญเหตุของผู้ปฏิบัติงานดับไฟป่าในพื้นที่ ปัจจุบันมีเจ้าหน้าที่ดับไฟป่า ฝ่ายปกครองหน่วยทหาร อาสาสมัคร ประชาชนจิตอาสาใน 17 จังหวัดภาคเหนือลงทะเบียน รวม 17,859 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 8 มี.ค.64)

นอกจากนี้ ปภ.ได้เพิ่มช่องทางในการแจ้งเหตุสาธารณภัย ผ่าน Official Line ปภ.รับแจ้งเหตุ 1784 พร้อมทั้งประสานให้จังหวัดประชาสัมพันธ์ ให้ประชาชนในพื้นที่ทราบ และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแจ้งเหตุไฟป่า การจุดไฟเผาต่าง ๆ เพื่อให้การระงับเหตุเป็นไปอย่างทันท่วงที สนับสนุนทรัพยากรเครื่องจักรกลพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการแก้ไขไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง โดยปฏิบัติการทางอากาศได้จัดส่งเฮลิคอปเตอร์ KA – 32 จำนวน 2 ลำ พร้อมชุดเผชิญสถานการณ์วิกฤต (ERT) ปฏิบัติการดับไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะพื้นที่ป่าบนภูเขาสูง หน้าผาลาดชัน โดยปฏิบัติการร่วมกับกองบัญชาการควบคุมสถานการณ์ไฟป่า และหมอกควันภาคเหนือ กองทัพภาคที่ 3 ส่วนหน้า ซึ่ง KA-32 ทั้ง 2 ลำ ได้ประจำการอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่มาตั้งแต่วันที่ 14 ก.พ.64 จนถึงปัจจุบันได้ขึ้นบินดับไฟป่าแล้วจำนวนกว่า 109 เที่ยวบิน ปริมาณน้ำดับไฟ 327,000 ลิตร ทั้งนี้ เฮลิคอปเตอร์ KA – 32 จะประจำการอยู่ในพื้นที่ เพื่อสนับสนุนปฏิบัติการดับไฟป่าต่อเนื่องจนสิ้นสุดฤดูกาล ขณะที่ปฏิบัติการภาคพื้นดิน ได้ระดมเครื่องจักรกลด้านสาธารณภัย
จากศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กำลังพลรวม 96 นาย และเครื่องจักรกลสาธารณภัยประกอบด้วยยานยนต์ดับเพลิง (Luf60) รถบรรทุกน้ำช่วยดับเพลิง 10,000 ลิตร และรถดับไฟป่ารวม 72 คัน กระจายกำลังประจำพื้นที่ที่คาดว่าจะเป็นพื้นที่เสี่ยงเกิดไฟป่า เพื่อสนับสนุนการการดับไฟป่า อัคคีภัยในพื้นที่ การฉีดพ่นเพิ่มความชุ่มชื้น ลดฝุ่นละอองในพื้นที่ เป็นต้น

นายบุญธรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า ปภ.ได้ประสานการปฏิบัติการผ่านกลไกของกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทุกระดับ ภายใต้แนวทางการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ โดยให้จังหวัดเป็นศูนย์กลางในการบริหารจัดการและประสานข้อมูลการปฏิบัติงานจากทุกหน่วยงาน นำข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาวิเคราะห์และวางแผนการปฏิบัติการแก้ไขปัญหา พร้อมทั้งเน้นย้ำการปฏิบัติการผ่านระบบ Line Chatbot FiremanTH อย่างเข้มข้น นอกจากนี้ ได้ประสานให้ทุกจังหวัดจัดทำแผนการบริหารจัดการทรัพยากรให้สอดคล้องกับข้อมูลพื้นที่เสี่ยง เพื่อให้สามารถชี้เป้าพื้นที่ปฏิบัติการในเชิงป้องกันและวางแผนเตรียมความพร้อมเข้าปฏิบัติการได้อย่างมีประสิทธิภาพหากเกิดไฟป่า รวมถึงได้ประสานจังหวัดให้ติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมจัดทีมประเมินสถานการณ์เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลในเชิงลึก โดยให้ Monitor ข้อมูลจุดความร้อน (Hotspot) ตามวงรอบการรายงานข้อมูลดาวเทียมของ GISTDA ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถวางแผนการบริหารจัดการในเชิงพื้นที่ และเสริมประสิทธิภาพการติดตามข้อมูลและการบัญชาการเหตุการณ์แก้ไขปัญหาได้ตรงจุด.
คุณเห็นด้วยกับข่าวนี้หรือไม่
-
เห็นด้วย
0%
-
ไม่เห็นด้วย
0%

