วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม 2025
  • นโยบายความเป็นส่วนตัว
  • ติดต่อเรา
  • แผนผังเว็บไซท์
  • Login
น่าน
  • น่าน
  • ข่าว
  • กิจกรรม
  • หางาน
  • ธุรกิจ
  • ร้านค้า
  • วิถีชีวิต
    • คนสำคัญ
  • สถานที่ท่องเที่ยว
  • สถานศึกษา
  • ผู้สนับสนุนเว็บ
  • ติดต่อเรา
No Result
View All Result
  • น่าน
  • ข่าว
  • กิจกรรม
  • หางาน
  • ธุรกิจ
  • ร้านค้า
  • วิถีชีวิต
    • คนสำคัญ
  • สถานที่ท่องเที่ยว
  • สถานศึกษา
  • ผู้สนับสนุนเว็บ
  • ติดต่อเรา
No Result
View All Result
น่าน
No Result
View All Result
Home ข่าว

เปิดโมเดลธุรกิจ “หนึ่งไร่ หนึ่งล้าน” ยกระดับเศรษฐกิจชุมชน ลดเหลื่อมล้ำสู่ยั่งยืน

น่าน by น่าน
5 ปี ago
in ข่าว
Reading Time: 2min read
158
0
100
SHARES
199
VIEWS
Share on FacebookShare on TwitterSent to LINE friend

เจาะลึกแนวคิดและวิธีการทำงานของหอการค้าไทย และสภาหอการค้าไทย ด้านการเพิ่มขีดความสามารถและการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ด้วยการให้องค์ความรู้ เพื่อความยั่งยืน หัวใจคือเน้น “การสื่อสาร” ร่วมกับชุมชนในภาคเกษตร สู่การพัฒนาให้แข่งขันได้ ต่อยอดจากงานสัมมนา ภาคธุรกิจไทย ในวิถี “ยั่งยืน” โดย มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ และหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ซึ่ง“นายกลินท์ สารสิน” ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ให้มุมมองด้านความยั่งยืนไว้อย่างน่าสนใจ คือ 1. ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และ 2. การลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ซึ่งทั้ง 2 เรื่องนี้เดินหน้าไปได้ถือว่าเข้าใกล้ความยั่งยืนแล้ว

This image is not belong to us

เราได้พูดคุยกับประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ถึงการทำงานร่วมกับชุมชนที่ยกระดับเศรษฐกิจชุมชนมาอย่างต่อเนื่องจนเกิดเป็นผลเชิงประจักษ์ โดยนายกลินท์ เผยว่า หอการค้าไทยและสภาหอการค้าฯ เน้นย้ำเรื่องนโยบายชัดเจนในเรื่องของความยั่งยืน (sustainability) ในฐานะที่เป็นภาคธุรกิจ และยังส่งเสริมการทำธุรกิจและสร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชนเพื่อความยั่งยืน โดยน้อมนำแนวพระราชดำริ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 มาปรับใช้เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ดำเนินนโยบายเพื่อช่วยเหลือชุมชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องการส่งเสริมทางด้านการเกษตร ทั้งในรูปแบบปลูกเพื่อนำไปขาย หรือการปลูกเพื่อนำไปแปรรูป รวมไปถึงโครงการที่เน้นการท่องเที่ยวในชุมชนเพื่อเพิ่มรายได้กับเกษตรกร โดยนำโครงการ ‘หนึ่งไร่ หนึ่งแสน’ ปรับมาเป็นโครงการ ‘หนึ่งไร่ หนึ่งล้าน’ ซึ่งมีเป้าหมายที่จะให้ชุมชนได้รับความสำเร็จ เน้นการทำเกษตรที่ใช้ต้นทุนต่ำ ขณะเดียวสามารถเพิ่มผลผลิตให้เกษตรกรได้มากขึ้น ด้วยการส่งเสริมให้เกษตรกรทำการเกษตรที่เน้นการปลูกพืชเศรษฐกิจที่มีมูลค่าสูง และต้องเป็นที่ต้องการของตลาด

‘หนึ่งไร่ หนึ่งล้าน’ พันธกิจยกระดับเศรษฐกิจท้องถิ่น

การสร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชน ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางอย่างทั่วถึงในทุกระดับ สิ่งสำคัญที่จะทำให้ประสบความสำเร็จคือ “การสื่อสาร” ต้องให้ชัดเจนว่ามีความเห็นอย่างไร และต้องทำให้ “เกิดขึ้นจริง”

“โครงการที่ประสบความสำเร็จทางด้านการไปแปรรูปสินค้าทางการเกษตร อย่าง “โครงการน่าน พรีเมียม คอฟฟี่” ที่เราเข้าไปร่วมทำงานกับชุมชนอย่างครบวงจร ปลูกกาแฟเปลี่ยนภาพภูเขาหัวโล้นให้กลายเป็นไร่กาแฟ ในช่วง 5 – 6 ปีที่ผ่านมา มีการเก็บผลผลิต ถ้าเป็นกาแฟธรรมดารายได้อยู่ที่ 40,000 บาท/ไร่ แต่เมื่อนำมาผ่านกระบวนการคั่วกาแฟ นำสินค้าไปแปรรูปและการจัดจำหน่ายจะตกอยู่ที่ 200,000 บาท/ไร่ และหากสินค้าไปจำหน่ายในรูปแบบร้านกาแฟ ซึ่งมีการนำเทคโนโลยี Automatic Coffee Machine เข้ามาช่วยเหลือด้านการจำหน่ายกาแฟของเกษตรกร โดยรวมแล้วเกษตรกรจะมีรายได้อยู่ที่ 1 ล้านบาท/ไร่ ซึ่งนอกจากจะเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตทางการเกษตรแล้ว ยังเป็นการเพิ่มอาชีพให้กับผู้ที่ขาดรายได้ในชุมชนอีกด้วย

“เมื่อกาแฟประสบความสำเร็จ เราก็ต่อยอดไปที่ “โครงการน่าน พรีเมียม โกโก้” จากจุดเริ่มต้นของสมาชิกสภาหอการค้า Cocoa Valley อ.บางปัว เน้นการผลิตเมล็ดโกโก้ที่มีคุณภาพ สามารถนำไปแปรรูปได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งการจัดจำหน่ายทั่วไป การแปรรูปเป็นเครื่องสำอาง รวมไปถึงการนำไปแปรรูปเป็นช็อกโกแลต นอกจากจะให้ผลประกอบการ รายได้ หรือกำไรได้เป็นอย่างดีในหลายปีที่ผ่านมาแล้ว รายได้ส่วยหนึ่งจากโครงการเหล่านี้เราได้นำคืนสู่ภาคเกษตรกร ถ้าจะให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นเรื่องการเพิ่มมูลค่า เช่น ผลผลิตโกโก้ปกติธรรมดาถ้ามาจำหน่ายจะมีราคาอยู่ที่ 200,000 บาท/ไร่ แต่หากนำโกโก้มาตากแห้งและบดจะได้ราคาอยู่ที่ 500,000 บาท/ไร่ ทั้งยังสามารถนำโกโก้มาเพิ่มมูลค่าด้วยการทำเป็นน้ำมัน ผลิตเป็นเครื่องสำอางทาผิว ราคาอยู่ที่ 1 ล้านบาท/ไร่ และเศษโกโก้ที่เหลือยังนำมาผลิตเป็นช็อกโกแลตมีราคาอยู่ที่ 1.5 ล้านบาท/ไร่” นายกลินท์ อธิบายภาพการทำงาน

ประธานกรรมการสภาหอการค้าไทยและสภาหอการค้าฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลักการหนึ่งไร่ หนึ่งล้าน ด้วยการให้ชาวบ้านมาช่วยทำโครงการเริ่มจากจ.น่านแล้วประสบความสำเร็จอย่างดี จึงนำมาเป็นโมเดลประยุกต์ใช้ในหลายจังหวัดต่อมา เช่น จังหวัดสุโขทัย ที่นำ ‘จิ้งหรีด’ พัฒนาการเลี้ยงในระบบปิด เพื่อให้ได้จิ้งหรีดที่สะอาดและมีคุณภาพ เพื่อนำไปแปรรูปเป็นอาหารให้โปรตีนส่งขายทั้งในและต่างประเทศ หรือจังหวัดสกลนคร ที่นำเทคโนโลยีไบโอ ฟลอค (Biofloc Technology) หรือการนำตะกอนจุลินทรีย์ มาช่วยกำจัดของเสียในบ่อเลี้ยงปลา ให้กลายเป็นของดีที่มีประโยชน์มาช่วยในการเลี้ยงปลา และจัดการระบบการเลี้ยงปลาโดยเฉพาะอย่างยิ่งมูลปลาที่เลี้ยงในระบบนี้สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลผลิตทางเกษตรกรรมได้อีกด้วย

ต่อมาที่จังหวัดบุรีรัมย์ มีการนำผลไม้ทางเลือก และมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง อย่าง ‘อินทผลัม’ มาปลูกเป็นผลไม้สดเพื่อจัดจำหน่ายในชื่อโมเดล “อินทผลัม บ้านนา บ้านเรา” สร้างรายได้เรียกว่าเป็นผลไม้แก้จนให้เกษตรกรได้ดี ในขณะเดียวกันที่จังหวัดกาญจนบุรี จะเน้นการปลูกอินทผลัมเพื่อการแปรรูปเป็นน้ำอินทผลัม ส่วนจังหวัดเชียงใหม่มีการปลูก ‘อโวคาโด’ ในโมเดล อโวคาโด ไร่ยังคอย ผลงานธุรกิจสตาร์ทอัพของชาวพื้นเมืองที่ต่อยอดงานวิจัย สู่การสร้างธุรกิจ ตอนนี้เป็นที่ยอมรับอย่างดีและสามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกรหลักล้าน

This image is not belong to us

This image is not belong to us

‘ทัศนคติ-เงินทุน-ทำต่อเนื่อง’ หัวใจสร้างชุมชนอยู่ดีกินดี

เมื่อถามว่าปัญหาการทำงานร่วมกับชุมชนและเกษตรกรคืออะไร? นายกลินท์ บอกว่า “เราทำงานร่วมกับเกษตรกรมานานแล้ว ส่วนวิธีการทำงานก็คือ เราเข้าถึงเกษตรกรเพื่อร่วมพูดคุยกับเขา หาสาเหตุของปัญหาและนำมาแก้ไข เราจะเพิ่มเติมอะไรได้บ้าง เราต้องการอัพสกิลของเกษตรกร จนเป็นที่มาของโครงการที่เกิดขึ้นเพื่อชุมชนอย่าง ‘หนึ่งหอการค้า หนึ่งสหกรณ์การเกษตร’ โดยมีสมาชิกไม่ต่ำกว่า 5,000 ราย ซึ่งหากเราทำให้หนึ่งสหกรณ์ประสบความสำเร็จก็เท่ากับช่วยเหลือชาวบ้านได้มากขึ้นด้วย เราช่วยไปเยอะและที่มีชื่อเสียงก็คือ สหกรณ์การเกษตร ท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี ที่มีเงินฝากหลักพันล้าน ซึ่งนำโมเดลการบริหารนี้ไปใช้กับสหกรณ์การเกษตรแห่งอื่นๆ ทั่วประเทศด้วย”

อย่างไรก็ตามในการทำงานหลายปีที่ผ่านมา ปัญหาและอุปสรรคเบื้องต้นของการทำงานร่วมกับชุมชนก็คือ “ทัศนคติ” ของคนในชุมชนที่เคยชินกับการทำการเกษตรแบบเดิม การเข้าไปเพิ่มเติมองค์ความรู้ใหม่จึงค่อนข้างต้องใช้เวลา จึงทำผ่านสร้างแหล่งเรียนรู้เพื่อให้คนในชุมชนได้ศึกษา เรียนรู้ และวิธีการใหม่ๆ ให้เขาได้ศึกษาและเข้าใจด้วยตนเอง พร้อมเป็นพี่เลี้ยงเข้าไปทำงานในชุมชน อีกเรื่องหนึ่งคือ “งบประมาณ” ซึ่งอาจทำให้โครงการที่เคยทำไปแล้ว ซึ่งทางหอการค้าไทย และสภาหอการค้าไทย ได้ร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตรอย่างธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารกรุงไทย และธนาคาร SME เข้ามาช่วยอุดในเรื่องของงบประมาณด้านการเกษตร และปัญหาสุดท้ายคือ “ขาดความต่อเนื่องของโครงการ” เราจึงแก้ปัญหานี้โดยให้หอการค้าและสภาหอการค้าแต่ละจังหวัดกำหนดเป็นยุทธ์ศาสตร์ของแต่ละจังหวัด เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรในแต่ละจังหวัดมีการทำอย่างต่อเนื่อง

This image is not belong to us

นายกลินท์ กล่าวอีกว่า ท้ายที่สุดของการทำงานเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชนก็คือ เราพยายามจะบอกว่าที่เราไปช่วย อย่างแรกเราต้องการจะช่วยเกษตรกรลดต้นทุนการผลิต ด้วยเทคโนโลยี ใช้องค์ความรู้ใหม่ๆ ในการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ขณะเดียวกันต้องรู้ว่าต้นทุนอยู่ที่เท่าไหร่ สามารถทำบัญชีได้ และทำอย่างไรให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้นและมีอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยใช้การตลาดนำการผลิต และสุดท้ายคือการส่งเสริมให้เยาวชนรุ่นใหม่ กลับคืนสู่ถิ่น โดยเน้นการทำเกษตรสมัยใหม่ ทำให้เยาวชนกลุ่มนี้เห็นถึงความสำเร็จของการำเกษตรสมัยใหม่ และนำไปต่อยอดได้ในอนาคต

“การกลับคืนถิ่นในช่วงวิกฤตเป็นหนึ่งทางรอดของเกษตรกรรุ่นใหม่ เราอยากแนะนำให้เกษตรกรรุ่นใหม่ทำการเกษตร มีรายได้ด้วย และทำให้ชุมชนในท้องถิ่นมีรายได้มากขึ้นด้วย เราสื่อสารให้เห็นว่าถ้าเขาทำแล้วเขาจะมีรายได้อย่างต่อเนื่องด้วย เราช่วยสอนให้ได้ เรามีตัวอย่างให้ศึกษาสามารถเข้ามาปรึกษาหอการค้าจังหวัดหรือหอการค้าส่วนกลางได้เลย”

This image is not belong to us

หอการค้าฯ ยึดหลัก ESG ผลักดันธุรกิจไทยยั่งยืน

หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มีเป้าหมายของการทำงานเพื่อความยั่งยืนที่ทำงานภายใต้กรอบ 3 ด้าน ประกอบด้วย ESG (environment สิ่งแวดล้อม, social สังคม, governance ธรรมาภิบาล) ด้านสิ่งแวดล้อม คือ การทำงานที่มุ่งเน้นดูแล เอาใจใส่สิ่งแวดล้อม ซึ่งทางหอการค้าไทย และสภาหอการค้าไทยเองก็ทำงานภายใต้นโยบาย BCG ของภาครัฐ ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เรื่องขยะจากอาหาร (Food Waste) ตลอดจนการส่งเสริมลดมลพิษทางอากาศด้วยการรับซื้อฟางข้าว ใบอ้อยจากเกษตรกร เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 และภาวะโลกร้อน รวมไปถึงการผลักดัน พ.ร.บ. อากาศสะอาด และ พ.ร.บ. ส่งเสริมนำวัสดุธรรมชาติมาใช้

This image is not belong to us

เรื่องที่สอง ด้านดูแลสังคม เราส่งเสริมนโยบายด้านส่งเสริมอาชีพคนพิการในท้องถิ่น ซึ่งทำมาเป็นปีที่ 8 แล้ว ยกตัวอย่างเราสอนอาชีพเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ ปลูกผักปลอดสารพิษ ให้ผู้พิการในชุมชน ซึ่งมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 150 คนที่เข้ามาร่วมโครงการกับเรา และกระจายอยู่ในหลายจังหวัด อาทิ สระแก้ว ราชบุรี สกลนคร นครราชสีมา ศรีสะเกษ หนองบัวลำภู บุรีรัมย์ อุบลราชธานี และส่วนสุดท้าย ด้านธรรมาภิบาล เราคิดว่าเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตนั้นสำคัญมาก เราจึงมีการแจกรางวัล คือ การเน้นความโปร่งใส ความซื่อสัตย์สุจริตในการทำงาน โดยยกตัวอย่างองค์กรที่ได้รับรางวัล “โครงการจรรยาบรรณดีเด่น” เราทำเป็นปีที่ 18 เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจการบริหารธุรกิจด้วยหลักธรรมาภิบาลที่ดี และให้ความรู้ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค ในระยะเวลา 18 ปี เราให้รางวัลไปแล้ว 190 บริษัท ซึ่งเป็นองค์กรแบบอย่างที่ธุรกิจควรทำตาม นอกจากนี้ยังจูงใจให้ผู้ลงทุนมองเห็น

จากสามเรื่องนี้จะทำให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างยั่งยืนได้ ถ้าเราขาดปัจจัยข้อใดข้อหนึ่งก็อาจจะทำไม่สำเร็จได้ ตอนนี้ความโปร่งใส การดูแลสิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วมสำคัญมาก

ประธานสภาหอการค้าไทย กล่าวทิ้งท้ายพร้อมให้คำแนะนำสำหรับการธุรกิจในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ว่า “ต้องรู้จักการปรับตัว ต้องเปิดหูตาให้กว้างเพื่อมองหาโอกาสใหม่ ๆ กลับมาดูว่าเรามีศักยภาพด้านไหน ประเมินตนเองว่าเราทำได้เลยหรือเปล่า ถ้าคิดว่าทำได้ ต้องทำเลย อย่าคอย ขณะเดียวกันก็ต้องพิจารณาต้นทุนที่มีอยู่ ทั้งเรื่องของงบประมาณลงทุน สายป่าน การใช้หนี้ ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ อย่าเกินตัว ข้อสำคัญคือความสามารถและสิ่งที่เรากำลังจะทำเป็นที่ต้องการของตลาดหรือไม่ ข้อนี้สำคัญมาก”

This image is not belong to us

Tags: newsข่าวจังหวัดน่าน
Previous Post

คพ.เผย 18 จังหวัด จม ‘ฝุ่นพิษ’ ค่าพุ่งเกินมาตรฐาน เหนืออ่วมหนัก 8 จว.

Next Post

เปิดรายชื่อจังหวัด พื้นที่ควบคุม “สีแดง” ปรับเหลือ 4 จังหวัด

น่าน

น่าน

แข่งเรือลือเลื่อง เมืองงาช้างดำ จิตรกรรมวัดภูมินทร์ แดนดินส้มสีทอง เรืองรองพระธาตุแช่แห้ง

Next Post
29-01-64-1-728x485.jpg

เปิดรายชื่อจังหวัด พื้นที่ควบคุม "สีแดง" ปรับเหลือ 4 จังหวัด

บทความ แนะนำ

เปิดคลังภูมิปัญญาสล่า“พุทธศิลป์วัดแสงดาว”ศูนย์เรียนรู้เชิงช่างพื้นถิ่นภูเพียงสู่พื้นที่สร้างสรรค์น่าน

“หมอชลน่าน”ยันร่าง MOU พรรคก้าวไกล ไม่มีเงื่อนไข ม.112-“เพื่อไทย”ไม่เอานิรโทษกรรม

คนอุบลฯ โวยมีชื่อเลือกตั้งนอกเขตไกลจากอีสานโผล่ทั้งภาคเหนือและภาคใต้

‘น่านบันดาลใจ’จริง!อพท.นำเครือข่ายยกระดับหัตถกรรม-ศิลปะพื้นบ้านน่าน ปั้นเมืองสร้างสรรค์ชงยูเนสโกปีนี้

“น่าน” ผนึกเครือข่าย เปิดพื้นที่สร้างสรรค์ “กำแพงเมืองเก่า-คูเมืองน่าน”ต่อเนื่อง เชื่อมประวัติศาสตร์กับวิถีคนน่าน บันดาลไอเดียหนุนเศรษฐกิจและท่องเที่ยวยั่งยืน

‘เพื่อไทย”จ่อเปิดเวทีใหญ่บางระกำซ้ำ 30 เมษาฯนี้ ‘สมศักดิ์’ลั่น พท.แลนด์สไลด์ สร้างงานทันควัน-เงินดิจิทัลแก้เศรษฐกิจฉับพลัน

“ธรรมนัส” ลั่น! 8 จว.ภาคเหนือ “พลังประชารัฐ” ได้เก้าอี้ ส.ส.ทุกจังหวัดแน่

“เศรษฐา” ควง “โอ๊ค” ลงพื้นที่แม่กลอง ขอพรหลวงบ้านแหลม พร้อมช่วยลูกพรรคหาเสียง

“ชัยเกษม”แคนดิเดตนายกฯเพื่อไทย วูบ ต้องนำส่ง รพ.ระหว่างหาเสียงเมืองน่าน เตรียมส่งรักษา กทม.พรุ่งนี้

สุดเศร้า! อดีต ส.อบต.ร่วมทีมอาสาดับไฟป่า เจอลมแรงหัวไฟเปลี่ยนทิศโดนคลอกดับ

เชียงใหม่เผชิญวิกฤตฝุ่นควันต่อเนื่อง-ค่ามลพิษอากาศพุ่งยึดแน่นอันดับ 1 เมืองหลักอากาศเลวร้ายที่สุดโลก

มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท และมูลนิธิพุทธรักษา มอบวัสดุอุปกรณ์และเครื่องมือป้องกัน-ดับไฟป่า

หมวดบทความ

การก่อสร้าง การขนส่งทางรถไฟ รถไฟฟ้า การค้าวัสดุก่อสร้าง การติดตั้งไฟฟ้าสายหลัก การผลิต การบรรจุก๊าซ การผลิตน้ำแข็ง การผลิตเส้นไหม การผลิตและบรรจุยา การหล่อหลอม การกลึงโลหะ การหีบฝ้าย ปั่นนุ่น การเคลือบ ชุบ อาบขัดโลหะ การเลี้ยงสัตว์ กิจกรรม ข่าว ตรวจหวย ธุรกิจ น่าน บริษัท มูลนิธิ ร้านค้า ร้านอาหาร วิถีชีวิต สถานที่ท่องเที่ยว สถานศึกษา สพป.น่าน เขต 1 สพป.น่าน เขต 2 สพม.เขต 37 สมาคม หน่วยงานราชการ อบจ. อบต. เอสเอ็มอี โรงงาน โรงพยาบาล บริการสุขภาพ โรงเรียนกวดวิชา โรงเรียนศิลปะและกีฬา โรงเรียนสอนวิชาชีพ โรงเรียนสามัญ โอทอป

เกี่ยวกับเรา น่าน



เป็นศูนย์รวมในการนำเสนอข้อมูลเพื่อสนับสนุนธุรกิจด้านการท่องเที่ยวในจังหวัด และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นพร้อมทั้งให้ข้อเสนอแนะและ ให้คำแนะนำเพื่อเป็นประโยชน์แก่สมาชิก อีกทั้งยังเผยแพร่ข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการศึกษา ค้นคว้า วิจัย ต่าง ๆ อีกด้วย

Unable to open file!