ขยะเป็นปัญหาโลกแตก แต่ละปีมีแต่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะขยะพลาสติก ในประเทศไทยขยะพลาสติกเพิ่มขึ้นร้อยละ 11-12 ในแต่ละปี เมื่อปี 2563 มีปริมาณประมาณ 3.2 ล้านตัน

การเดินทางของขยะเป็นไปอย่างเสรี ไม่ต้องพึ่งพาพาสปอร์ตหรือวีซ่า ทิ้งบนภูเขา ถ้าไม่มีใครเก็บ สักวันลมก็พัดพามันไปลงทะเล การกระจายของขยะพลาสติกทั้งบนบกและทะเลส่งผลกระทบรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อมและสัตว์ป่า หลายปีที่ผ่านมา เราเห็นภาพสัตว์กับขยะพลาสติกในรูปแบบต่างๆในสังคมออนไลน์ แทบทุกภาพสื่อสารความทรมานที่เป็นผลจากความมักง่ายของคนเรา
ปี 2562 มีภาพข่าวที่สะเทือนใจอย่างแรง คือ ภาพซากกวางป่าในอุทยานแห่งชาติขุนสถาน อ.นาน้อย จ.น่าน เมื่อทีมสัตวแพทย์ป่าผ่าอวัยวะก็พบขยะพลาสติกอัดแน่นอยู่ในกระเพาะอาหารถึง 7 กิโลกรัม ย้อนหลังหนึ่งปีก่อนข่าวนี้ก็มีภาพชวนอึ้ง เมื่อนักท่องเที่ยวรายหนึ่งโพสต์ภาพ “อึ” ช้าง บนถนนสายหนึ่งที่ตัดผ่าน “มรดกโลก” อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เป็นอึที่เต็มไปด้วยมวลขยะพลาสติกจำพวกห่อขนมกรุบกรอบ
นายสัตวแพทย์ภัทรพล มณีอ่อน สัตวแพทย์ประจำกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เคยเล่าว่า ขยะกับสัตว์ไม่ใช่สิ่งที่ควรใกล้ชิดกัน แต่มนุษย์กลับทำให้ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นโดยการให้อาหารสัตว์ เหตุเพราะความน่ารักน่าเอ็นดู สงสาร และอยากถ่ายรูปเซลฟี่ การกระทำนี้ส่งผลให้สัตว์เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการหาอาหาร สัตว์เรียนรู้การรื้อถังขยะและคิดว่าขยะของมนุษย์เป็นของกินได้ สัตว์ที่มีความคุ้นเคยกับคนจะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากขยะมากที่สุด เช่น ลิง เก้ง กวาง ช้าง นก เม่น อาหารส่วนใหญ่จะอยู่ในถุงพลาสติก หรืออะลูมิเนียม เวลาคนขยับถุงพลาสติกจะมีเสียงก๊อบแก๊บ เรียกร้องสัตว์ให้เข้ามาหา สัตว์ที่อยู่ใกล้คนมากๆ รู้ว่าในถุงพลาสติกมีของที่กินได้ แต่ที่ไม่รู้คือ พลาสติกกินไม่ได้ ก็กลืนเข้าไปทั้งถุง

ขยะพลาสติกที่นักท่องเที่ยวนำขึ้นไปเที่ยวป่าในอุทยานแห่งชาติ นอกจากจะสร้างภาระให้กับเจ้าหน้าที่ที่ต้องแบกลงมาทิ้งด้านล่าง ยังเป็นอันตรายต่อสัตว์ป่าตัวเล็กตัวใหญ่มานานแล้ว ขยะพลาสติกที่พบในกระเพาะกวางป่าไม่ได้มีแค่ถุงหรือซองใส่อาหาร แต่ยังมีถุงมือยาง ผ้าเช็ดมือ (ทิชชูเปียก) กางเกงในผู้ชาย จนถึงเชือกฟาง
และถ้าเราไม่ลืม นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สร้างจุดเปลี่ยนเรื่องการรณรงค์เกี่ยวกับการจัดการขยะพลาสติก เมื่อปี 2561 วาฬนำร่องครีบสั้น ลอยเข้ามานอนอ่อนแรงบริเวณหน้าหาดใน อ.จะนะ จ.สงขลา ศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนล่าง จ.สงขลา พยายามช่วยชีวิต แต่วาฬเกิดอาการเกร็งตัว จากนั้นก็สำรอกพลาสติกออกมา 4 ชิ้น จนเกิดอาการช็อกและเสียชีวิต เมื่อผ่าพิสูจน์หาสาเหตุก็พบซากถุงพลาสติกในท้องวาฬถึง 85 ชิ้น น้ำหนักรวมกว่า 8 กิโลกรัม อันเป็นเหตุทำให้วาฬชะตาขาดไม่สามารถย่อยอาหารได้เลย
การโพสต์เรื่องราวเหล่านี้ในโซเชียลมีเดีย กระตุ้นให้เกิดธรรมชาติสำนึกอย่างกว้างขวาง สำคัญที่สุดคือ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ขยับตัวแบบจริงจัง หลังจากใช้วิธีขอความร่วมมือกับนักท่องเที่ยวเป็นครั้งคราว

ตั้งแต่ปลายปี 2562 กรมอุทยานฯกำหนดมาตรการการเที่ยวในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทั่วประเทศ ได้แก่ ห้ามให้อาหารสัตว์ ห้ามนำภาชนะที่ทำด้วยโฟมเข้าในเขตอุทยาน ห้ามเก็บพันธุ์ไม้/ดอกไม้ ห้ามขีดเขียนในอุทยานแห่งชาติ ห้ามล่าสัตว์ป่า ห้ามก่อกองไฟ ห้ามนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าภายในอุทยานแห่งชาติ ห้ามส่งเสียงดัง ห้ามนำสัตว์เลี้ยงหรือสัตว์ต่างถิ่นเข้า ห้ามพกพาอาวุธเข้าอุทยานแห่งชาติ ห้ามเดินออกนอกเส้นทาง และห้ามทิ้งขยะ
เฉพาะเรื่องขยะพลาสติก มีเจาะจงลงลึกไปด้วยว่า ห้ามนำบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง เข้ามาในพื้นที่อุทยานฯ และนักท่องเที่ยวทุกคณะต้องนำถุงขยะเข้ามาเอง แล้วเอาติดตัวกลับออกไปด้วย
แต่ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว จ.เชียงใหม่ ตื่นตัวก่อนต้นสังกัดและถือเป็นการเปลี่ยนแปลงแห่งแรกของประเทศ หลังจากพบปัญหาว่านักท่องเที่ยวที่ขึ้นดอยหลวงเชียงดาว ทิ้ง “ทิชชูเปียก” ตามรายทางเป็นจำนวนมาก
หากสัตว์ป่ากินเข้าไปอาจเป็นปัญหาถึงตายได้ ต้นปี 2561 จึงมีการนำร่องแจกชุดขับถ่ายฉุกเฉิน และจัดห้องสุขาชั่วคราวให้แก่นักท่องเที่ยวที่ขึ้นดอย
เจ้าหน้าที่จะแจกเป้สะพายกันน้ำสีดำให้นักท่องเที่ยวคนละใบ ภายในเป้มีชุดขับถ่ายฉุกเฉิน กระดาษทิชชู 2 แพ็ก ถุงเจล 3 ใบ และถุงดำที่ย่อยสลายได้ 4 ใบ พร้อมสาธิตวิธีการใช้คือ ถุงเจลสำหรับใช้ปัสสาวะ เมื่อใช้แล้วปิดให้มิดชิด นำเก็บใส่เป้แล้วลงมาทิ้งในจุดที่เจ้าหน้าที่เตรียมไว้ด้านล่าง
ส่วนถุงดำใช้สำหรับถ่ายหนัก เอาไว้ใช้ในห้องสุขาชั่วคราว ซึ่งเป็นเก้าอี้พลาสติกเจาะรูตรงกลางไว้สำหรับสวมถุงดำ เสร็จภารกิจแล้วก็นำถุงดำไปทิ้งในหลุมที่เจ้าหน้าที่เตรียมไว้ เพื่อฝังกลบย่อยสลายตามธรรมชาติ หลังจากทดลองใช้ชุดขับถ่ายฉุกเฉินดังกล่าว พบว่าปริมาณขยะลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ล่าสุด สาวกแบกเป้ที่เป็นสายปิ้งย่างต้องยุติการกินหมูกระทะในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่อีกด้วย เพราะทางอุทยานฯประกาศยกเลิกการให้บริการหมูกระทะของร้านค้าสวัสดิการเขาใหญ่ ซึ่งแต่เดิมมีจำหน่ายให้นักท่องเที่ยวชุดละ 300 บาท เพื่อป้องกันกลิ่นและควันที่รบกวนนักท่องเที่ยวรายอื่นๆ นอกจากนี้ กลิ่นควันการปิ้งย่างยังดึงดูดสัตว์ป่าให้เข้ามาในลานกางเต็นท์ ทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยกับนักท่องเที่ยว รวมทั้งตัวสัตว์เองเพราะพบการทิ้งเศษถ่านและเศษอาหารจากเมนูหมูกระทะ พร้อมทั้งขอความร่วมมือนักท่องเที่ยวที่จะทำอาหารเอง ไม่ปรุงเมนูดังกล่าวนี้ด้วย
ว่าที่จริง หัวใจหลักของการไปเที่ยวธรรมชาติก็คือ ผ่อนคลายให้อยู่เย็นกับสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติรอบตัว งดการดื่มการกินที่ดุเดือดลงบ้าง จึงจะสัมผัสได้ถึงความหมายของป่าที่เติมเต็มในใจอย่างแท้จริง.

