1.ในหลวง-พระราชินี พระราชทาน ส.ค.ส.-พรปีใหม่ แก่ปวงชนชาวไทย ให้ทุกคนร่วมมือกัน-อดทนเพื่อผ่านพ้นโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ
วานนี้ (31 ธ.ค.) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พระราชทานบัตรอวยพรปีใหม่ ประจำปีพุทธศักราช 2565 แก่ปวงชนชาวไทย ด้านหน้าของบัตรพระราชทานพรปีใหม่ มีตราประจำพระราชวงศ์จักรีอยู่กึ่งกลาง ด้านล่างเป็นตราพระปรมาภิไธย ว.ป.ร. และตราพระนามาภิไธย ส.ท. เมื่อเปิดบัตรพระราชทานพร ด้านขวา มีพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงฉายกับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ใต้พระบรมฉายาลักษณ์ระบุพระปรมาภิไธย “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” และพระนามาภิไธย “สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี” ส่วนด้านซ้าย มีข้อความว่า “พระราชทานพรปีใหม่ พ.ศ.๒๕๖๕” พร้อมทั้งทรงลงพระปรมาภิไธย และพระนามาภิไธย
ต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสพระราชทานแก่ประชาชนชาวไทยในโอกาสขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2565 ความว่า “ถึงวาระดิถีขึ้นปีใหม่พุทธศักราช 2565 เป็นโอกาสอันดีที่เราควรระลึกถึงกัน และอำนวยพรแก่กันด้วยความหวังดี ให้มีความสุขความเจริญและความสำเร็จในสิ่งที่พึงประสงค์ คนเราทุกคนย่อมปรารถนาความสุขความเจริญ ความสุขความเจริญของแต่ละบุคคลกับความสุขความเจริญของชาติบ้านเมืองนั้น เป็นสิ่งที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ หากเกิดปัญหาอุปสรรคหรือโรคภัย ไข้เจ็บใดๆ เข้ามาแผ้วพาน เราทุกคนย่อมจะต้องร่วมมือกันด้วยความรักสามัคคี ความอดทน และความเข้าใจปัญหา จะพาให้เราผ่านพ้นอุปสรรคทั้งหลาย”
“ทั้งนี้ ความสำเร็จเกิดจากการที่เรามิได้เพียงแต่คำนึงถึงความสุขความเจริญของแต่ละบุคคล แต่ยังคำนึงถึงความสุขความเจริญของบ้านเมือง เราจึงสามารถร่วมมือกันผ่านพ้นอุปสรรคและโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ นานาได้อย่างสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี”
“ขออำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านเคารพนับถือ พร้อมด้วยพระบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จงคุ้มครองรักษาท่านให้มีสุขภาพแข็งแรง ปลอดพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บและภยันตรายทั้งหลายทั้งปวง พร้อมทั้งมีกำลังใจ มีความเข้มแข็งสมบูรณ์ด้วยสติปัญญาที่จะดำรงตนในทางที่ดีที่เจริญ ซึ่งจะนำความสุขมาให้ทั้งตนเองและส่วนรวมตลอดไป”
2.นักข่าวทำเนียบฯ ตั้งฉายารัฐบาล “ยื้อยุทธ์” ฉายา “บิ๊กตู่” ชำรุดยุทธ์โทรม ฉายา “บิ๊กป้อม” รองช้ำ วาทะแห่งปี “นะจ๊ะ”!
เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. นักข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล ได้ร่วมกันตั้งฉายารัฐบาล รัฐมนตรี และวาทะแห่งปี ประจำปี 2564 ดังนี้ ฉายารัฐบาล : “ยื้อยุทธ์” เนื่องจากภาพของรัฐบาล ที่ยื้อแย่งกันเองทั้งในส่วนของอำนาจและตำแหน่ง โดยไม่สนใจประชาชน และการเดินหน้าประเทศ ถูกมองว่า เป็นเรื่องผลประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม และมองการดำรงอยู่ของ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้นำรัฐบาล จะเป็นประโยชน์มากกว่า จึงต้องทำทุกอย่างเพื่อยื้อให้ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ต่อไป ไม่ว่าจะมีการชุมนุมขับไล่ไสส่งอย่างไร ใครไม่อยู่ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่
ฉายา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม : ชำรุดยุทธ์โทรม เนื่องจากการบริหารราชการแผ่นดินตลอดทั้งปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ถือได้ว่า เป็นผู้ที่รับบทหนักที่สุดแห่งปี ถูกมองว่าล้มเหลว ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาโควิด-19 การกระตุ้นเศรษฐกิจ การบริหารราชการ หรือแม้แต่เรื่องทางการเมือง ถูกโจมตีรอบด้าน แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะยังอยู่ในตำแหน่งได้ แต่ก็ทรุดโทรม เสื่อมสภาพ ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกายหรือจิตใจ
ฉายา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี : “รองช้ำ” เนื่องจากตลอดทั้งปีที่ผ่านมา พี่ใหญ่ในตระกูล 3 ป. อย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ประสบกับเรื่องช้ำๆ เจ็บซ้ำๆ มาโดยตลอด หลายสถานการณ์ต้องตกเป็นรอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องการเมือง โดยเฉพาะปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐ ที่เกิดความแตกแยกอย่างหนัก สะเทือนถึงพี่น้องอีก 2 ป. สั่นคลอน “3ป. Forever” ซ้ายก็น้องรัก ขวาก็ลูกน้องที่รัก หักใจเลือกใครไม่ได้ สุดท้ายต้องยอมแบกความเจ็บช้ำไว้คนเดียว
ฉายา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข : “ว้ากซีน” ซึ่งล้อมาจากคำว่า “วัคซีน” ภาพที่ผู้คนชกต่อยยื้อแย่งวัคซีน บุคลากรทางการแพทย์ ดาหน้าออกมาเรียกร้องวัคซีนชนิด mRNA ผู้คนว้าก โวย เหวี่ยง ตำหนิการจัดหาและให้บริการวัคซีน ที่ถูกเลื่อนไม่มีกำหนด เพราะวัคซีนไม่มาตามนัด ไม่ว่านายอนุทินจะชี้แจงอย่างไร กระแสตอบรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสื่อโซเชียล ไม่มีคำว่ารักษาน้ำใจ หรือเห็นถึงความพยายามในการแก้ปัญหาภาวะวิกฤติ จนนายอนุทิน ต้องออกโต้ตอบอย่างดุเดือด ผ่านสื่อและโซเชียลทุกครั้งที่มีโอกาส
ฉายา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ : “นายกฯ บางโพล” โดยมองว่า แม้ปีนี้ยังไม่เข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง แต่หัวหน้าพรรคการเมืองหลายพรรค แสดงความพร้อมประกาศตัวเป็นนายกรัฐมนตรี หนึ่งในนั้น คือนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีผลสำรวจความคิดเห็น หรือโพลบางสำนักเท่านั้น ที่ต้องการให้นายจุรินทร์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไป เปรียบได้กับการเป็นนายกรัฐมนตรีแค่บางโพล ไม่ใช่ทุกโพล
ฉายา นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน : “มหาเฉื่อย 4D” (อ่านว่าโฟร์ดี) เนื่องจากตลอดการดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ยังแสดงฝีมือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ไม่เด่นชัด เช่น ปัญหาราคาน้ำมันแพง จนสมาคมรถบรรทุกออกมาประท้วงและหยุดวิ่ง ประชาชนกลายเป็นประชาจน เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า แม้จะผุดโปรเจคท์ต่างๆ ก็ถูกมองเป็นนโยบายขายฝัน ด้วยเอกลักษณ์ เดินถือแก้วกาแฟชิลชิล มอบนโยบายเหมือนบรรยายธรรม โดยเฉพาะนโยบาย 4D ท่องจนเป็นคาถาติดปาก จึงได้รับฉายานี้ไป
ฉายา นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน : “สุชาติ ชมเก่ง” เนื่องจากเกือบทุกครั้งในการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน เมื่อพูดถึงนโยบายของรัฐบาล หรืองานในความรับผิดชอบ นายสุชาติมักจะขึ้นต้นประโยค ด้วยการชื่นชม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หรือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคของตนเอง จะถูกยกยอปอปั้นอยู่เสมอ แถมยังติดสอยห้อยตามการลงพื้นที่ต่างๆ อีกทั้งยังเป็นรัฐมนตรีหนึ่งเดียว ที่ขันอาสาออกหน้ารับคำท้า ขึ้นชกมวยคาดเชือกกับนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ แทนนายกรัฐมนตรี ที่ออกมาท้าว่า ใครแพ้ลาออก และหากไม่รับคำท้าไม่ใช่ลูกผู้ชาย
ฉายา นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม : “สายขม นมชมพู” ซึ่งมาจากปัญหารถไฟฟ้าสายสีเขียว ที่คาราคาซังมานานข้ามปี ยังไม่มีข้อยุติ ผลพวงจากภาระหนี้สินก้อนใหญ่ ยังหาทางออกไม่ได้ กลายเป็นเรื่องขมคอของหลายหน่วยงานภาครัฐ ซ้ำเจ้าตัวยังมีภาพหลุด ที่ ส.ส. พรรคเล็กขุดมาอภิปรายไม่ไว้วางใจ เชื่อมโยงคลัสเตอร์โควิด-19 สถานบันเทิงย่านทองหล่อ ก่อนออกมาชี้แจงว่า ภาพดังกล่าวแค่สะท้อนชีวิตหนุ่มโสด ร้องคาราโอเกะ ดื่มนมชมพู หาความสุขหลังเลิกงาน ไม่ใช่ชายเสเพล ใช้ชีวิตประมาท จนเกิดคลัสเตอร์การระบาด
ฉายา นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา : “ดีลล่มระดับโลก” เนื่องจากการท่องเที่ยวถือเป็นรายได้สำคัญของประเทศไทย อีเวนต์ที่จะปลุกให้ทั่วโลกหันกลับมามองประเทศไทย และฟื้นเศรษฐกิจอีกครั้ง คือ งานเคาท์ดาวน์ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ออกตัวการันตี Lisa วง Black Pink ศิลปินเกาหลี สัญชาติไทย ที่โด่งดังระดับโลก ตอบรับมาร่วมงาน ก่อนที่ดีลจะล่มไม่เป็นท่า เมื่อต้นสังกัดออกแถลงการณ์ดับฝัน ทำให้รัฐบาลเสียเครดิต แม้แต่โครงการ Sandbox ก็เกือบจะเป็น Sadbox ต้องลดพื้นที่ให้เหลือแค่จังหวัดภูเก็ต เพราะสถานการณ์โควิด-19 ปะทุ
วาทะแห่งปี 2564 : “นะจ๊ะ” เป็นคำพูดติดปากของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แม้จะเป็นคำสามัญธรรมดาที่ใช้ทั่วไป แต่กลายเป็นคำไม่ธรรมดา เมื่อออกจากปากของผู้นำประเทศในช่วงสถานการณ์วิกฤติ ที่ประชาชนสิ้นหวัง มีผู้คนล้มตายข้างถนน ตกงาน ขาดรายได้ จากวิกฤติโควิด-19 แม้นายกรัฐมนตรีเลือกใช้คำดังกล่าว เพื่อที่จะลดอุณหภูมิของสถานการณ์ลง แต่สังคมสะท้อนกลับให้เห็นผ่านเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับ 1 ว่า เป็นการใช้คำไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ กระทบกระเทือนจิตใจผู้คน โดยเฉพาะการพูดหลังการประชุมวัคซีนและการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ตึกภักดีบดิทร์ ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2564 ที่ประชาชนต่างรอคอยการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี ในการพิจารณาข้อเสนอมาตรการล็อกดาวน์ กทม. และปริมณฑล สะท้อนภาวะความเป็นผู้นำ ที่ล้มเหลวในการสื่อสารเมื่อเกิดภาวะวิกฤติ
3. นักข่าวรัฐสภาตั้งฉายา “สภาอับปาง” เหตุการณ์เด่น-แผนกบฏล้มนายกฯ ดาวเด่น-นพ.ชลน่าน ดาวดับ-วิรัช รัตนเศรษฐ!
เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภา ได้ประชุมร่วมกันและมีความเห็นเกี่ยวกับการตั้งฉายาของรัฐสภา เพื่อสะท้อนการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติ โดยมีข้อสรุปดังนี้ 1. ฉายาสภาผู้แทนราษฎร : สภาอับปาง โดยเห็นว่า สภาผู้แทนราษฎรเปรียบเสมือนเรือขนาดใหญ่ บรรทุกความรับผิดชอบชีวิตของประชาชนและงานบริหารราชการแผ่นดิน ด้วยวิธีการเห็นชอบร่างกฎหมายฉบับต่างๆ เพื่อให้หน่วยราชการได้มีอำนาจไปบำบัดทุกข์บำรุงสุขราษฎร แต่พบว่า เรือสภาลำนี้ในรอบปี 2564 กลับประสบปัญหาสภาล่มอับปางบ่อยครั้ง เพียงเพราะ ส.ส.ฝั่งรัฐบาลไม่ตระหนักถึงหน้าที่ของ ส.ส. ขณะเดียวกัน ส.ส.ฝ่ายค้านมัวแต่จ้องจะเล่นเกมการเมือง จึงสะท้อนว่า ส.ส.ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ยึดถือประโยชน์ประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง
2. ฉายาวุฒิสภา : ผู้เฒ่าเฝ้ามรดก (คสช.) โดยเห็นว่า สมาชิกวุฒิสภาส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ถูกมองว่าคอยทำหน้าที่ปกป้องเฝ้ารักษามรดกที่เป็นโครงสร้างและกลไกสืบทอดอำนาจของ คสช.อย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะการแก้รัฐธรรมนูญที่ทั้งฝ่ายค้าน และภาคประชาชนพยายามเสนอขอแก้ไขเรื่องการล้มล้างอำนาจ คสช. ทั้งการยกเลิกแผนการปฏิรูปประเทศ และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี การยกเลิกคำสั่งต่างๆ ของ คสช. และหัวหน้า คสช. การยกเลิก ส.ว.หรือริบอำนาจ ส.ว.ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ต่างถูก ส.ว.โหวตคว่ำ ไม่ให้ความเห็นชอบทุกครั้ง ใครที่คิดจะทำหรือแก้ไขกฎหมายที่มีผลกระทบต่อกลไกอำนาจของ คสช. จะถูกผู้เฒ่า ส.ว.ต่อต้าน ขัดขวางไปหมด เหมือนกับคอยพิทักษ์มรดกของ คสช.ให้อยู่สืบต่อไป
3. ฉายา นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร : ชวนพลังท่อม โดยฉายานี้ได้มาจากการติดตามการทำงานของ “ชวน หลีกภัย ที่สามารถนั่งควบคุมการประชุมได้อย่างยาวนาน พลันเสร็จจากงานประธานในที่ประชุมก็ปฏิบัติภารกิจอื่นๆ อีกมากมาย ขึ้นเหนือล่องใต้เยี่ยมเยือนประชาชนทั่วประเทศอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ราวกับคนเคี้ยวใบกระท่อมที่จะมีเรี่ยวแรง อึด ถึก ทนมากเป็นพิเศษ
4. ฉายา นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา : ร่างทรง โดยเห็นว่า นายพรเพชร วิชิตชลชัย ทำงานให้ คสช.มายาวนาน ตั้งแต่สมัย คสช.เรืองอำนาจ ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จนมาถึงยุคปัจจุบันที่ คสช. กลายร่างมาเป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้ง นายพรเพชรก็ยังได้รับความไว้วางใจต่อเนื่องให้เป็นประธานวุฒิสภา เพื่อเป็นหัวขบวนของสมาชิกวุฒิสภาคอยช่วยเหลือสนับสนุนภารกิจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่บทบาทของนายพรเพชรในฐานะประธานวุฒิสภา ไม่มีความโดดเด่น ทั้งที่เป็นถึงประมุขสภาสูง และยังถูกมองว่า คอยสนองความต้องการของรัฐบาลเพียงอย่างเดียว
5. ฉายา นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร : สมพงษ์ตกสวรรค์ นายสมพงษ์ได้ตำแหน่งมาเพราะมีคนมอบให้ นอนมาแบบแบเบอร์ ไร้คู่แข่ง แต่ครั้นได้รับตำแหน่งกลับไร้บทบาท ไม่โดดเด่น มิหนำซ้ำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ยังพลาด เช่น เมื่อปลายเดือนสิงหาคม ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายสมพงษ์ ก็เอ่ยชื่อ-นามสกุล พล.อ.ประยุทธ์ ผิดติดต่อกัน 2-3 ครั้ง กระทั่งมีการประชุมใหญ่สามัญพรรคเพื่อไทย นายสมพงษ์ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เท่ากับหลุดจากตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาโดยปริยาย จึงเปรียบได้ว่าเป็น “สมพงษ์ตกสวรรค์”
6. ดาวเด่นแห่งปี : นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นพ.ชลน่าน มีบทบาทในวิปฝ่ายค้านมานาน แต่กลับพลาดตำแหน่งสำคัญๆ ทว่า คนเป็นดาวเด่นย่อมมีแสงในตัวเอง เขาโด่ดเด่นในสภาตลอดมา การอภิปรายสภาแต่ละครั้งมีหลักการและเหตุผล สามารถโน้มน้าวใจให้ ส.ส.เห็นด้วยกับสิ่งที่อภิปราย โดยไม่มีการใช้ถ้อยคำหยาบคาย สุดท้ายผลงานเข้าตาผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทย จนได้รับการผลักดันให้เป็นหัวหน้าพรรค และขึ้นเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภา
7. ดาวดับ : วิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ อดีตประธานวิปรัฐบาล ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่มีบทบาท สมาชิกทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลต่างให้ความเชื่อถือและความเกรงใจ แต่ปรากฏว่า บทบาทของนายวิรัช ในฐานะประธานวิปรัฐบาลในรอบปีที่ผ่านมา การควบคุม ส.ส.ภายในพรรคพลังประชารัฐ และ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลก็ไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธภาพ อีกทั้งเมื่อวันที่ 2 พ.ย. ศาลฎีกาเเผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำเเหน่งทางการเมือง สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ จากคดีทุจริตสนามฟุตซอลโรงเรียนในจังหวัดนครราชสีมา สมัยที่นายวิรัชยังเป็น ส.ส. สังกัดพรรคเพื่อไทย ทำให้เขาเป็นดาวดับ
8. เหตุการณ์เด่นแห่งปี : แผนกบฏการเมืองล้มนายกรัฐมนตรี ช่วงปลายเดือนสิงหาคม ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ฝ่ายค้านยื่นซักฟอก 6 รัฐมนตรี แต่ไฮไลต์กลับอยู่ที่นอกห้องประชุม เมื่อมีรายงานข่าวว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สมัยนั้นยังเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เดินสายล็อบบี้ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ให้ลงมติไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ความลับนี้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน กลายเป็นข่าวใหญ่โต และนำมาสู่ความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างนายกฯ กับ ร.อ.ธรรมนัส นายกฯ มอง ร.อ.ธรรมนัส เป็นอากาศธาตุ อีกทั้งหลังเหตุการณ์นั้นไม่นาน มีประกาศในราชกิจจานุเบกษาปลด ร.อ.ธรรมนัส ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยฯ จนถึงทุกวันนี้ความรู้สึกกินแหนงแคลงใจก็ยังคงอยู่
9. วาทะแห่งปี : “วัคซีนเต็มแขน” คำชี้แจงของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เกี่ยวกับวัคซีน ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2564 ว่า “ไตรมาส 3 วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตในประเทศไทย อยู่เต็มโรงพยาบาลแล้วครับ อยู่เต็มแขนของพี่น้องประชาชนคนไทยแล้ว” ภายหลังจากที่ชี้แจงในสภาได้กลายเป็นไวรัลในสังคมที่คุยว่า จะมีวัคซีนเต็มแขน แต่สุดท้ายวัคซีนไม่มาตามนัด เกิดการขาดแคลนวัคซีน ทำให้ประชาชนต้องดิ้นรนขวนขวายหาวัคซีนกันเอง
10. คู่กัดแห่งปี : เสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว. และวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในเวลาที่มีการประชุมรัฐสภาร่วมกัน ทั้งสองคนนี้มักโต้เถียงกันบ่อยครั้งและมีแนวโน้มจะไม่เลิกใช้คำพูดที่รุนแรง
11. คนดีศรีสภา : ยกเลิกตำแหน่งนี้ถาวร เพราะไม่มีสมาชิกรัฐสภาคนใดที่เป็นแบบอย่างที่ดีในการทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ จึงสมควรยกเลิกถาวร จนกว่าในอนาคตจะมีสมาชิกรัฐสภาที่มีความประพฤติที่เหมาะสมกับตำแหน่งดังกล่าวต่อไป
4. “พระมหาสมปอง” สึกแล้ว หลังครองผ้าเหลืองมา 30 ปี เตรียมลุยธุรกิจเต็มตัว มีนายทุนออกเงินให้ก่อน ยันไม่ยุ่งการเมือง!
เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. ซึ่งเป็นวันกำหนดลาสิกขาของพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต พระนักเทศน์ชื่อดังแห่งวัดสร้อยทอง ซึ่งเดิมตั้งใจจะลาสิกขาที่วัดสระเกศในช่วงเช้า แต่ภายหลังได้เปลี่ยนเป็นลาสิกขาที่วัดบางโพโอมาวาส แทน โดยให้เหตุผลในการเปลี่ยนวัดกะทันหันว่า เนื่องจากมีสื่อมวลชนไปรอที่วัดสระเกศจำนวนมาก จึงต้องเปลี่ยนวัด หลังพระมหาสมปองลาสิกขา ใช้ชื่อทางฆราวาสว่า “นายสมปอง นครไธสง”
ทั้งนี้ พระมหาสมปองได้เผยก่อนหน้านี้ว่า ขอห้ามสื่อมวลชนไปทำข่าว แต่จะบันทึกคลิปไว้ให้ พร้อมชี้แจงถึงเหตุที่ต้องเลื่อนการลาสิกขา จากเดิมที่เคยบอกว่าวันที่ 2 ม.ค.2565 ว่า ทางพระผู้ใหญ่บอกว่าฤกษ์ไม่ดี หากสึกในวันนั้น ส่วนตัวก็เชื่อเรื่องแบบนี้ แต่ถ้าให้เลือกวันที่ 1 หรือ 3 ม.ค.2565 ก็กลัวไม่มีอะไรให้ทีมงานทำ จึงเลือกเองเป็นวันที่ 29 ธ.ค.2564 แทน
เป็นที่น่าสังเกตว่า เพจ แม่ปอง ของ “พระมหาสมปอง” ได้มีการโพสต์คลิปภาพก่อนหน้าที่พระมหาสมปองจะลาสิกขาไม่กี่ชั่วโมง โดยเป็นภาพที่ถ่ายจากภายในเครื่องบินที่กำลังบินอยู่พร้อมข้อความสั้นๆ ว่า “เมฆสวย ฟ้าใส ในวันลาสิกขา อีกมุมหนึ่งก็ใจหายเนาะ” ก่อนจะมีการโพสต์ภาพอีกภาพเป็นภาพพระมหาสมปองยืนหันหน้าเข้าประตูไม้ที่สะท้อนเห็นหน้าและเงาของตนเองพร้อมแคปชั่นว่า “ไม่กี่ชั่วโมงจะมีคนใส่เสื้อแม่ปองและเสื้อท้องถิ่นไทยคอนสาร ชัยภูมิออกมาจากเงานี้”
ด้านนายไพรวัลย์ วรรณบุตร หรืออดีตพระมหาไพรวัลย์ ซึ่งลาสิกขาไปก่อนหน้า ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในวันที่พระมหาสมปองลาสิกขาว่า “กราบนมัสการลาพระอาจารย์เป็นครั้งสุดท้ายนะครับ เราจะเจอกันใหม่อีกครั้งในอีกสถานะและบทบาทหนึ่ง แต่ไม่ว่าเครื่องภูษาอาภรณ์จะเปลี่ยนไปอย่างไร พระอาจารย์จะถือครองเพศแบบไหน ผมขอยืนยันจากหัวใจว่า ผมจะยังคงเคารพและนับถือพระอาจารย์ดั่งเคยเป็นมาเช่นนี้ตลอดไป สิ่งที่พระอาจารย์ตริตรองและตัดสินใจดีแล้วด้วยตัวของพระอาจารย์เอง จะทำให้พระอาจารย์พบกับสิ่งที่เรียกว่า ความสุขอย่างแท้จริงครับ ผมมั่นใจอย่างนั้น”
หลังลาสิกขา นายสมปอง เผยว่า มีการวางแผนทำธุรกิจหลายอย่าง โดยเตรียมมุ่งทำธุรกิจครบวงจรภายใต้ชื่อแบรนด์ “แม่ปอง” โดยจะทำธุรกิจคอสเมติกหรือแม่ปอง คอสเมติก, แม่ปองของกิน (ปลาร้า น้ำพริก กาแฟ), แม่ปองของใช้ (ยาสีฟัน), การเขียนหนังสือ หรือทำรายการชวนวัยรุ่นเข้าวัด อาจชักชวนน้องจัดร่วมกัน (อดีตพระมหาไพรวัลย์), ค่ายเพลง แม่ปองฮักมิวสิคที่เชียงใหม่ รับออดิชั่นรับคนทุกเพศวัยมาร้องเพลง, และรับรีวิวสินค้ารวมถึงสินค้าบางอย่างจะฝาก “พิมรี่พาย” ขาย โดยทุกยอดการขายจะคืนสู่สังคม 10%
สำหรับสาเหตุที่สึก นายสมปองระบุว่า ถึงเวลา อาจจะมีเรื่องแต่งตั้งเจ้าอาวาสวัดสร้อยทองบ้างนิดๆ เรื่องแม่ก็มีส่วน แต่ก็ไม่ใช่สาเหตุหลัก สาเหตุหลักของการสึกคือ ถึงเวลามากกว่า ยืนยันว่า ไม่มีความกดดันจากพระผู้ใหญ่ พร้อมยอมรับว่าคิดจะลาสิกขามาหลายปี ทีแรกตั้งไว้ช่วงปลายปี 2566 จนมาถึงเวลาที่เหมาะสม จึงตัดสินใจสึก ยืนยันว่า ไม่ได้ลาสิกขาเลียนแบบทิดไพรวัลย์ ไม่ใช่พฤติกรรมเลียนแบบแน่นอน ตนคิดมาก่อนหน้านี้แล้วหลายปี มันถึงเวลาที่เหมาะสม 30 ปีถามว่าใจหายไหม ก็ใจหาย แต่เมื่อถึงเวลาก็เป็นไปตามความเหมาะสม
นายสมปองยืนยันด้วยว่า หลังลาสิกขาจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง เนื่องจากแฟนเพจไม่เห็นด้วย แต่ยอมรับว่า ก่อนหน้านี้คุย 3 พรรค คือ ไทยสร้างไทย เพื่อไทย พลังประชารัฐ พร้อมเงื่อนไขใช้หนี้ 10 ล้าน เงินขวัญถุง ซึ่งมันมีความผิดถึงขั้นยุบพรรคได้เลย
เมื่อถามว่า หนี้ 10 ล้านมาอย่างไร นายสมปอง กล่าวว่า เกิดจากการสร้างโรงเรียน สนามกีฬา วัด หมู่บ้าน ชุมชน ยอมรับทำเกินตัว แต่ตอนนี้มีเจ้าสัวใจดีเสนอจะใช้หนี้ให้หมดทุกอย่าง ส่วนเรื่องธุรกิจส่วนตัวมีนายทุนทำให้ ออกทุนให้ก่อน พร้อมกล่าวถึงกรณีมีการมองว่า เป็นการสึกออกมาหาเงินหรือไม่ ว่า ใครก็หาเงินทั้งนั้น อยู่ที่ว่าหาแล้วช่วยสังคมหรือไม่ ซึ่งธุรกิจแม่ปองนั้น 10% จะหักช่วยเหลือสังคม ถ้าไม่จริงอย่างไรก็มาตรวจสอบได้เลย
นายสมปอง ยังเผยในเวลาต่อมาด้วยว่า ตอนนี้พี่ติ๋มทีวีพูลเตรียมไว้ 10 ล้าน ที่จะทำธุรกิจด้วยกัน แล้วก็ยังมีคนอื่นๆ อีก ทุกบาททุกสตางค์ไม่ใช่เงินของตน มีผู้ใหญ่ใจดีที่ออกให้ก่อน ตนก็ต้องออกเมื่อมีเงิน แต่ถ้าอีก 3 เดือนถ้าไปไม่ไหว ก็จะไปร่วมกับเจ้าสัว เพราะอีกฝ่ายเตรียมทุนไว้ให้แล้ว 100 ล้าน ให้ไปทำ
พร้อมพูดติดตลกอีกว่า รวยกว่าเจ้าสัวซีพีคือเป้าหมายของผมครับ หมดยุคของท่านแล้ว ท่านยึดประเทศนี้มานานแล้ว จะหมดยุคของเจ้าสัวซีพี แล้วจะมาเป็นยุคของเจ้าสัวแม่ปองแล้ว มันก็ต้องหาเงิน วัดไหนไม่หาเงิน อย่ามากระแดะเรื่องนี้ สึกมาหาเงิน สึกมาหาพ่อ…มั้ง ก็ต้องสึกมาหาเงินอยู่แล้ว แล้วก็เอาเงินไปทำบุญ แบ่งเงินรายได้ไป 10 เปอร์เซ็นต์ จะมีการจัดการกุศลเดือนละครั้ง ทำบุญ อย่ามากระแดะ อย่ามาถามโง่ๆ อยู่ที่ว่าเรามีเงินแล้วเอาไปทำอะไร ถ้ารวยแล้วช่วยคน ตนโอเคเลย
นายสมปอง กล่าวอีกว่า ตอนนี้ตนมีทนายความส่วนตัว 6 คน ประกบดูแล อนาคตเตรียมเล่นหนังกับ “หม่ำ จ๊กม๊ก” เล่นละครกับ “ธงชัย ประสงค์สันติ” สร้างทีมฟุตบอล เปิดสำนักข่าว ทำหนังสือ แต่จะไม่ลงเล่นการเมืองจนกว่าลูกเพจจะเห็นดีด้วย
5. ศบค.หวั่น “โอมิครอน” ระบาดเพิ่มหลังปีใหม่ ขอ ปชช.WFH 1-14 ม.ค. เพื่อสังเกตอาการตัวเอง-ป้องกันแพร่เชื้อ!
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.ว่า ที่ประชุม ศบค. มีความกังวลว่า หลังเทศกาลปีใหม่อาจมีการแพร่ระบาดของเชื้อโอมิครอนเพิ่มขึ้น จึงขอความร่วมมือประชาชนและภาคเอกชนให้ทำงานที่บ้าน (WFH) เป็นหลัก อย่างน้อย 1-14 ม.ค.2565 เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อและสังเกตอาการตัวเอง
ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงมาตรการเตรียมพร้อมหลังประชาชนเดินทางท่องเที่ยวหรือจากกลับจากภูมิลำเนาหลังเทศกาลปีใหม่ว่า ถ้าเป็นไปได้ ขอให้แต่ละหน่วยงานพิจารณาการเวิร์กฟรอมโฮม หรือพิจารณาบริหารจัดคนมาทำงานเป็นชุดๆ ไป อย่ามาทำพร้อมกันทีเดียวทั้งหมด เพื่อลดความเสี่ยง ตนเห็นว่าดี มีเหตุผล เพราะเมื่อเราเดินทางมาจากภูมิลำเนา เดินทางไปโน่นมานี่ ควรมาเฝ้าสังเกตอาการของตัวเอง ถ้าทุกคนทำได้แบบนี้ จะมีความปลอดภัย
ขณะที่ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โควิด 19 ในประเทศไทยว่า แม้ผู้ป่วยอาการหนักและเสียชีวิตในประเทศจะลดลง แต่ยังพบความเสี่ยงผู้ติดเชื้อมาจากต่างประเทศ ศบค.จึงชะลอระบบ Test &Go เพื่อลดผู้ติดเชื้อเข้าประเทศ ขณะที่ในประเทศยังพบการติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อน ทั้งร้านอาหาร บาร์ ตลาด รวมทั้งความเสี่ยงที่มีคนรวมกันหมู่มาก หลังปีใหม่คาดว่า แนวโน้มอาจมีการระบาดเพิ่มขึ้น แต่จะพยายามลดการระบาดให้มากที่สุด โดยมีมาตรการต่าง ๆ เพิ่มเติม แนะนำผู้ที่ฉีดวัคซีน 2 เข็มครบ 3 เดือนแล้ว ให้ไปฉีดเข็มกระตุ้น ส่วนคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนให้รีบมาฉีด และเข้มมาตรการเว้นระยะห่าง สวมหน้ากาก หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด ระบบระบายอากาศไม่ดี ผู้คนในสถานที่นั้นไม่สวมหน้ากาก ส่วนขนส่งสาธารณะ แนะนำให้ตรวจ ATK เป็นระยะ สวมหน้ากากตลอดเวลาที่เดินทาง
นพ.โอภาส ยังกล่าวถึงการสอบสวนคลัสเตอร์โอมิครอนที่สำคัญ 2 คลัสเตอร์ ได้แก่ คลัสเตอร์กาฬสินธุ์ ซึ่งแพร่กระจายหลายจังหวัดทั้งอีสานและภาคเหนือ มีผู้ติดเชื้อหลายร้อยคน ถือเป็น “ซูเปอร์สเปรดเดอร์” จุดสำคัญคือ ร้านอาหารที่แปลงมาจากบาร์ แต่ไม่ได้ปรับปรุงระบบระบายอากาศ ทำให้มีความเสี่ยงสูง พบว่าผู้ติดเชื้อไปร้านอาหาร 2 แห่ง คือร้าน BAR S ที่เจ้าของร้านกำกับติดตามมาตรการควบคุมป้องกันโรคเข้มข้น ทำให้ไม่มีผู้ติดเชื้อเลย ขณะที่ร้าน BAR K ระบบระบายอากาศไม่ดี ลูกค้าอยู่กันแออัด 90% และอยู่นาน เพราะมีดนตรีและจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายแอลกอฮอล์ พนักงานป่วยไม่หยุดงาน ไม่คัดกรองความเสี่ยง และเว้นระยะห่างได้ไม่ดี ถือเป็นบทเรียนที่ร้านอาหารต้องปรับปรุง และเป็นข้อเตือนใจลูกค้าให้หลีกเลี่ยงร้านที่มีความเสี่ยงคือ แออัด ระบายอากาศไม่ดี ผู้คนไม่ใส่หน้ากาก เพื่อความปลอดภัย
ส่วนอีกคลัสเตอร์คือ นักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งใน กทม. วันที่ 24 ธ.ค. พบผู้ติดเชื้อ 52 ราย มีประวัติรับประทานอาหาร ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารคล้ายผับ ช่วงวันที่ 8-14 ธ.ค. พบว่าไม่ได้ดำเนินการตามมาตรการ COVID Free Setting ลูกค้าอยู่ค่อนข้างแออัดและระบบระบายอากาศไม่ดี ตรวจสอบหาเชื้อในสิ่งแวดล้อม พบเชื้ออยู่ในเครื่องปรับอากาศ ดังนั้น ขอให้ใช้เวลารับประทานอาหารให้น้อยที่สุด ช่วงที่ไม่รับประทนอาหารให้สวมหน้ากาก ซึ่งหากทุกคนใส่หน้ากากจะลดเสี่ยงการติดเชื้อมากกว่า 90% ไม่ว่าจะเป็นหน้ากากชนิดใด สิ่งสำคัญคือต้องใส่ให้ถูกต้อง
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เผยถึงสถานการณ์โควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนในประเทศไทยว่า ข้อมูลสะสมตั้งแต่เปิดประเทศ วันที่ 1 พ.ย.-30 ธ.ค.2564 พบผู้ติดเชื้อโอมิครอน รวม 1,145 คน เป็นการติดเชื้อจากต่างประเทศ 620 คน และติดในประเทศ 525 คน แบ่งเป็นมาจากต่างประเทศ 43 คน และติดเชื้อในประเทศ 168 คน
นพ.ศุภกิจ กล่าวด้วยว่า แนวโน้มพบเจอการติดเชื้อในประเทศมากกว่ามาจากต่างประเทศ ซึ่งการระบาดในประเทศเป็นวง 2 วง 3 น่าจะมีมากขึ้น ส่วนเขตสุขภาพที่พบผู้ติดเชื้อโอมิครอนมากที่สุด คือ เขตสุขภาพที่ 13 กรุงเทพมหานคร จำนวน 325 คน เขตสุขภาพที่ 7 จำนวน 309 คนพบที่ จ.กาฬสินธุ์ มากที่สุด และเขตสุขภาพที่ 11 จำนวน 128 คน พบที่ จ.ภูเก็ต มากที่สุด
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบอนุมัติโครงการค่าบริการสาธารณสุขภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกรอบวงเงิน 31,662,917,500 ล้านบาท สำหรับสำนักหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายให้กับหน่วยบริการสถานพยาบาลที่ให้บริการสาธารณสุขโรคโควิด-19 สำหรับประชาชนทุกคนที่อาศัยอยู่ในประเทศ พร้อมมอบหมายให้ สปสช.และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ พิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์การสนับสนุนค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยโควิด-19 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์การควบคุมและป้องกันการระบาดของโรค โดยคำนึงถึงการใช้จ่ายงบประมาณอย่างคุ้มค่าสูงสุด