ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย กล่าวหา “3 ป.” คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ว่าไม่ยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตย กระทำผิดมาตรฐานทางจริยธรรมร้ายแรง ร่วมกันทำรัฐประหาร
นั่นก็คือรัฐประหาร 2549 และ 2557 เป็นการกล่าวหาที่ตอกยํ้าข้อความในญัตติการอภิปราย ที่ระบุว่านายกรัฐมนตรีใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการทำลายผู้เห็นต่าง ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนและสื่อมวลชน ไม่ศรัทธาและเป็นปฏิปักษ์ต่อประชาธิปไตย และ ส.ส.อีกคนอภิปรายว่าการยึดอำนาจคือความอัปยศ
คำอภิปรายข้างต้น น่าจะเป็นคำตอบที่ดีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ที่ชอบย้อนถามว่า “ผมทำผิดอะไร” พร้อมทั้งยืนยันว่าตนเข้าสู่อำนาจตามวิถีทางรัฐธรรมนูญเป็นรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกันกับที่ ส.ส.ทั้งหลายเข้ามา แสดงว่าไม่เข้าใจแก่นแท้ของประชาธิปไตย ไม่เข้าใจข้อวิจารณ์เรื่องการสืบทอดอำนาจ
กลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญล่าช้า หรืออาจแก้ไขไม่ได้เลย ดังที่นายกรัฐมนตรีตอบคำถามนักข่าว เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า “ไม่ใช่แก้จนด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เอาแค่เคารพกฎหมายที่มีอยู่ให้มากที่สุด” แสดงว่าไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ แค่ที่มีอยู่ก็ดีแล้ว หรือแล้วแต่สภา
พล.อ.ประยุทธ์ไม่ยอมรับว่ารัฐประหาร ไม่ใช่การทำความผิด ทั้งๆที่เห็นเหตุแห่งความขัดแย้งที่สำคัญทางการเมือง เพราะกลุ่มประชาชนที่ตื่นตัวทางการเมือง และศรัทธาประชาธิปไตย รู้สึกว่า “อำนาจของปวงชน” ถูกช่วงชิงไป รัฐธรรมนูญของ ประชาชนถูกฉีกทิ้ง ประชาชนถูกยัดเยียดรัฐธรรมนูญใหม่ เพื่อสืบทอดอำนาจรัฐประหาร
จึงเกิดปรากฏการณ์ทางการเมืองใหม่ๆ เช่น คะแนนเสียงและจำนวน ส.ส.ที่พรรคอนาคตใหม่ได้รับในการเลือกตั้งใหญ่ที่ผ่านมา และการออกมาชุมนุมเรียกร้องตามท้องถนนของกลุ่มนักเรียน นิสิต นักศึกษา และเยาวชน เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ และปฏิรูปสถาบัน คล้ายกับการต่อต้านรัฐประหารในพม่าขณะนี้
ในด้านเศรษฐกิจและสังคมได้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ เข้าสู่ยุคข้าวยากหมากแพง ผู้คนตกงานนับล้านๆ หนี้สินล้นพ้นทั้งรัฐและประชาชน สาเหตุสำคัญมาจากการแพร่ระบาดของโควิด ต้นตอของการแพร่ระบาด คือการทุจริตคอร์รัปชันของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ลักลอบขนแรงงานเถื่อนและคุมบ่อนเถื่อน ฝ่ายค้านสงสัยว่าส่งส่วยถึงระดับใด.

