ความเป็นมาของกฎหมายฉบับนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2564 ในที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยมติในที่ประชุม ได้มอบหมาย กรมสนับสนุนสุขภาพ พิจารณาการปรับปรุงกฎหมายเพิ่มเติม ในประเด็นการคุ้มครองบุคลากรทางการแพทย์สำหรับการปฏิบัติงานตามข้อสั่งการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
ใครบ้างได้รับความคุ้มครองโดยไม่ต้องรับผิดตามกฎหมาย
ในเอกสารได้แบ่งออกเป็น 3 ตอน คือ บุคลากรสาธารณสุข ประกอบด้วย
1. ผู้ประกอบโรคศิลปะตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบโรคศิลปะ
2. ผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์และสาธารณสุขตามกฎหมายที่เกี่ยวกับการแพทย์และสาธารณสุข
3. ผู้ปฏิบัติการตามกฎหมายว่าด้วยการแพทย์ฉุกเฉิน
4. อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านตามระเบียบกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน
5. อาสาสมัครเฉพาะกิจ
6. บุคคลที่ได้รับการร้องขอจากผู้ประกอบวิชาชีพเพื่อให้ปฏิบัติงานตามพระราชกำหนด
7. บุคคล/คณะบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้ง หรือมอบหมายจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดการหรือบริหารวัคซีน
ขณะที่ ตอนที่ 2 ระบุถึงสถานพยาบาล ประกอบด้วย
1. สถานพยาบาลซึ่งดำเนินการโดยกระทรวง ทบวง กรม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ สถาบันการศึกษาของรัฐ หน่วยงานอื่นของรัฐ สภากาชาดไทย
2. สถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาลและให้หมายความ
3. สถานที่ซึ่งบุคลากรสาธารณสุขปฏิบัติงานตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย เพื่อให้การรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคติดเชื้อโควิด-19
ส่วนตอนที่ 3 กล่าวถึงความรับผิดตามกฎหมาย ประกอบด้วย
ความรับผิดทางแพ่ง ทางอาญา ทางวินัย และทางละเมิดของเจ้าหน้าที่
แล้วเงื่อนไขการได้รับความคุ้มครองแบบไม่ต้องรับผิดชอบเป็นอย่างไร
1. บุคลากรสาธารณสุขปฏิบัติงานภายใต้สถานพยาบาล
2. การตัดสินใจในการให้การดูแลรักษาพยาบาลนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ
3. สถานพยาบาลนั้นได้ปฏิบัติงานภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน หรือปฏิบัติงานเพื่อให้การรักษาพยาบาลโดยฉุกเฉินกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ (ม.31 พ.ร.บ.สถานพยาบาล)
ซึ่งจะส่งผลถึง
- การได้รับความคุ้มครองไม่ต้องรับผิดตามกฎหมาย รวมถึงกรณีที่ความเสียหายเกิดขึ้นจากผลสืบเนื่องหรือภาวะแทรกซ้อนอันเนื่องมาจากการปฏิบัติงายภายหลังจากสถานการณ์ฉุกเฉินสิ้นสุดลง
- ไม่ตัดสิทธิของบุคลากรสาธารณสุข สถานพยาบาล และอาสาสมัครเฉพาะ ในการได้รับการช่วยเหลือหรือเยียวยาตามมาตรการของรัฐ หรือตามที่กฎหมายกำหนด
แต่ก็ยังมีข้อยกเว้นได้รับการคุ้มครองด้วย ถ้าหาก
- การกระทำนั้นเป็นไปโดยไม่สุจริต
- การกระทำนั้นเป็นไปโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
- การกระทำนั้นเกิดหรือมูลเหตุมาจากการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
ไม่หมดแค่นั้น เนื้อหายังระบุถึงเงื่อนไขการได้รับความคุ้มครองกรณีการจัดหาและบริหารวัคซีน
- เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับการแต่งตั้ง หรือมอบหมายจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- ไม่ได้กระทำด้วยความจงใจให้เกิดความเสียหายเว้นแต่กรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ของทางราชการ
- ไม่ได้กระทำด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
และยังพ่วงท้ายด้วยบทเฉพาะกาล
เนื้อหาคือ คดีที่มีมูลความผิดที่เกี่ยวเนื่องจากการให้การส่งเสริมสุขภาพ การควบคุมและป้องกันโรค การรักษาพยาบาล และการฟื้นฟูสุขภาพ กรณีโรคติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งเกิดขึ้น นับตั้งแต่วันที่ประกาศกำหนดให้โรคโควิด-19 เป็นโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ ให้ได้รับการยกเว้นความรับผิดทางแพ่งและอาญา ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ หรือทางวินัยตามพระราชกำหนดนี้
อาจกันการฟ้องร้องกรณีฉีดวัคซีนไขว้
เมื่ออ่านทุกบรรทัด จะพบว่า ข้อ 7. ของ บุคคลที่ไม่ต้องรับโทษ และเนื้อหาตอนที่ 3 การไม่ต้องรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ และเงื่อนไขของการคุ้มครองกรณีจัดวัคซีน และการบริหารวัคซีน ก็อาจทำให้หลายคนเข้าใจได้ว่ามีไว้เพื่อล้างผิดเรื่องวัคซีนโดยเฉพาะ
ซึ่งวันที่ 9 ส.ค. 2564 ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ก็แถลงข่าวถึงกรณีนี้ไว้ในเรื่องการออกร่าง พ.ร.ก.จำกัดความรับผิดฯ ของเรื่องวัคซีนไขว้ ที่ยังเป็นข้อถกเถียง และเรื่องโรงพยาบาลสนาม
“ยกตัวอย่างเช่น โรงพยาบาลสนาม ที่ต้องรับผู้ป่วยจำนวนมาก อุปกรณ์มีจำกัด รวมถึงสถานที่ และแนวทางการรักษา เช่นเรื่องยาในการรักษา และเรื่องวัคซีน ผมคิดว่าเรื่ององค์ความรู้ วัคซีนเราบอกว่าต้องฉีด 2 เข็ม ต่อมา เราพบว่าสามารถฉีดไขว้ได้ ต่างๆ เหล่านี้ ความรู้จะปรับเปลี่ยนตลอดเวลา การปรับเปลี่ยนวิธีการรักษามีความจำเป็นมาก ถ้าสมมติว่าไม่มีการปรับเปลี่ยนวิธีการรักษา ความรู้ในขณะนั้น สิ่งนี้จะทำให้ผู้ปฏิบัติงานมีความมั่นใจในการปฏิบัติงานอย่างเต็มความสามารถขณะนั้นๆ” นพ.ธเรศ กล่าว
จริงๆ แล้วทำได้หรือไม่ และจำเป็นต้องมีกฎหมายดังกล่าวไหม
เรื่องนี้เราสอบถามจากอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และยังมีดีกรีเป็นถึงอดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาล คือ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ให้มุมมองว่า ความจริงแล้ว การออกเป็น พ.ร.ก. ถือเป็นการขัดรัฐธรรมนูญ ม.172 วรรค 2 เพราะการให้ความคุ้มครองเรื่องการจำกัดความรับผิดฯ ไม่เข้าข่ายเป็นกรณีฉุกเฉินจำเป็นเร่งด่วนที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ และไม่เกี่ยวเนื่องกับประชาชน ผู้ยกร่างอาจจะเข้าใจผิด เพราะคณะรัฐมนตรีจะเสนอได้ต้องมีเรื่องภัยพิบัติ ป้องกันภัยสาธารณะต่อความมั่นคงต่อเศรษฐกิจ และสุขภาพ แต่เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วน
“ถ้าจะออกเป็น พ.ร.ก. ตามที่เขาเสนอ มันไม่เหมาะสม มันไม่สามารถที่จะเสนอเป็น พ.ร.ก.ได้ ความจำเป็นที่จะคุ้มครองบุคลากรทางการแพทย์ สาธารณสุข ในภาวะที่มีการระบาดอย่างรุนแรง และมีข้อจำกัดมาในการดูแล ถามว่ามันมีอะไรคุ้มครองไหมในแง่ของกฎหมาย เท่าที่ดู มันก็มีอยู่ เช่น กฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดเจ้าหน้าที่ ที่ให้ความคุ้มครองด้านบริการอยู่แล้วในเรื่องการฟ้องร้อง และการเอาผิด เพราะมุ่งให้ความคุ้มครองทั้งผู้ให้และผู้รับบริการ ให้สิทธิผู้เสียหาย ฟ้องร้องจากรัฐ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ แต่เขาไม่ให้ฟ้องเจ้าหน้าที่” นายแพทย์ชลน่าน กล่าว
จะคุ้มครองแบบไหนต้องเขียนตัวบทให้ชัด
ความมั่นคงเรื่องสุขภาพ ต้องหมายถึงบุคคลทั่วไปและแพทย์ด้วย หากจะออกเป็นกฎหมาย ต้องออกเป็น พ.ร.ก.ป้องกันภัยทางด้านสุขภาพหรือความเสียหายต่อผู้มารับบริการและผู้ให้บริการให้สภาวะฉุกเฉินที่มีข้อจำกัด โดยสามารถเขียนตัวบทได้ว่าจะคุ้มครองอย่างไร ทั้งผู้ป่วยและแพทย์ ทั้งทางตรง ทางอ้อม โดยนำเหตุการณ์ฉุกเฉินมาเป็นตัวนำ
“เอากฎหมายที่มีอยู่แล้ว ถ้ามีอะไรที่เติมเต็มก็ยกมาเป็น พ.ร.ก. เช่น กฎหมายที่ใช้อยู่ไม่คุ้มครองประชาชน แพทย์ผู้ให้บริการ ได้ทุกมิติ จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดออกมาใช้บังคับเพื่อดูแล ภายใต้สถานการณ์จำกัด ให้ทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ และเรื่องเยียวยา หากใครป่วย ใครตาย มีผลแทรกซ้อนจากวัคซีน รวมถึงแพทย์ พยาบาลติดโควิด ต้องจ่ายทันที จึงจะไม่ทำให้เกิดปัญหา เพราะดูจากเนื้อหาเบื้องต้นของร่างแล้วยังไม่มี” นายแพทย์ชลน่าน กล่าว
ยากที่ฝ่ายประจำจะคิด ต้องถามว่ามีฝ่ายการเมืองเกี่ยวข้องไหม?
นอกจากนี้ ยังมีพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตาม ม.41 ที่คุ้มครองทั้งแพทย์ และผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายทางการแพทย์จะได้รับการเยียวยาอย่างถูกต้องและเหมาะสม ส่วนแพทย์ก็มีความกล้าที่จะช่วยชีวิตผู้ป่วยโดยไม่ต้องวิตกกังวล เพราะยุติการฟ้องร้องทั้งทางแพ่งและอาญา และยังไม่สิ้นเปลืองภาษีอากรของประชาชนในการจัดตั้งกองทุนใหม่
“แรงจูงใจ เชื่อว่า อันนี้เป็นข้อสันนิษฐานของผมนะ เพราะเป็นฝ่ายการเมืองและเป็นอดีตรัฐมนตรีด้วย การจะทำมาตรการที่เป็นกฎหมาย ถ้าฝ่ายที่มีหน้าที่ในการทำกฎหมายไม่คิดขึ้นมา ยากที่ฝ่ายประจำจะคิด เพราะไม่ใช่หน้าที่เขาโดยตรง หน้าที่เขาเป็นทางอ้อมเท่านั้น เมื่อฝ่ายการเมืองบอกว่าอยากจะมีกฎหมายฉบับนี้ หน้าที่การยกร่างแน่นอนเป็นของฝ่ายประจำและผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายนั้นๆ พอติดตามการยกร่างของศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินของกระทรวง จึงให้หมอธเรศไปยกร่างขึ้นมา จึงต้องถามว่ามีฝ่ายการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องไหม แต่เป็นไปได้ผู้บริหารระดับสูงคิดเอง แต่ทำไมไปเขียนมีติ่งเรื่องผู้บริหารวัคซีนเข้ามา” นายแพทย์ชลน่าน กล่าว
เหมือนกับจับโป๊ะได้ว่า ถ้ากระทรวงสาธารณสุขคิดเอง จะมุ่งไปที่การคุ้มครองผู้ปฏิบัติงานแน่นอน ส่วนอีกข้อสังเกต เหตุใดจึงเขียนเฉพาะผู้บริหารวัคซีน ไม่มีการอ้างถึงผู้บริหารยา จึงหนีไม่พ้นการถูกตีความเหมือนยกโทษเหมาเข่ง
จริงอยู่ว่าสถานการณ์โรคโควิด-19 คล้ายสงครามการให้ความคุ้มครองและกำลังใจต่อด่านหน้าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะต้องเสียสละทั้งแรงกาย และต้องละทิ้งครอบครัว มาปฏิบัติหน้าที่ แต่การหวังเอาใจทางการเมือง อาจจะถูกเตือนอีกครั้งได้ว่า กลับไปคิดให้ดีๆ เสียก่อน
ผู้เขียน : Supattra.l
กราฟิก : sathit chuephanngam