5 ก.ค. 64 – พรรคเพื่อไทยจัดเสวนาในหัวข้อ “วิกฤตโควิด-19 ทางออกก่อนถึงทางตัน” เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนและเสนอแนะหาทางออกในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ซึ่งเข้าขั้นวิกฤติ
โดยนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจของไทยกำลังจะพัง โดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกมาปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2564 จาก 3.5% เหลือ 1.8% ส่วนการจัดเก็บรายได้ในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564 ลดลงเกือบ 2 แสนล้านบาท และคาดว่าเมื่อสิ้นปีงบประมาณจะเก็บรายได้ลดลงเกือบ 3 แสนล้านบาท หนี้ครัวเรือนไตรมาส 1/2564 พุ่ง 14.13 ล้านล้านบาท หรือ 90.5% ต่อจีดีพี ภาคธุรกิจจะทยอยปิดกิจการลง คนไทยจะตกงานมากขึ้น ในขณะที่ราคาสินค้าจะสูงขึ้น ปัญหาเศรษฐกิจจะถาโถมขึ้น
จึงขอเสนอ 7 ทางออกก่อนถึงทางตัน ได้แก่ 1.สั่ง mRNA 60 ล้านโดส ทันที โดยบุคลากรทางการแพทย์ต้องได้รับวัคซีนเข็ม 3 ทันที 2.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องเจรจาบังคับให้แอสตร้าเซนเนก้าส่งวัคซีนที่สั่งไว้ตามกำหนด 3.กระจายการฉีดวัคซีนให้เร็วและกำหนดการเปิดประเทศใหม่ให้เหมาะสมกับสถานการณ์จริง 4.เปลี่ยนแปลงการเยียวยาผู้ได้รับความเดือดร้อนใหม่ให้ตรงจุด ทั้งยิ่งใช้ยิ่งได้ คนละครึ่ง และโครงการอื่นๆ 5.ปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ย 0% ให้กับผู้ประกอบการรายย่อย 6.เร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยต้องปิดสวิตซ์ ส.ว. 7.พล.อ.ประยุทธ์ต้องออกไป เพราะได้กลายเป็นโมฆะบุรุษ หมดสภาพการเป็นผู้นำประเทศ ยิ่งอยู่ประชาชนยิ่งลำบาก
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สถานการณ์โควิดในประเทศไทยขณะนี้ถึงทางตัน เกิดการส่งต่อเชื้อกระจายออกไปภูมิภาคอย่างไร้ยุทธศาสตร์การควบคุม วัคซีนที่มีอยู่ตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ไม่มีประสิทธิภาพ รัฐบาลทำให้ระบบการแพทย์รับมือไม่ไหว จึงขอเสนอทางออก ได้แก่ 1.รัฐบาลต้องเปิดให้ประชาชนเข้าถึงชุดตรวจเชื้อโควิด-19 ได้ด้วยตนเอง หากทุกคนสามารถตรวจเชื้อได้ครอบคลุม จะสามารถแยกผู้ติดเชื้อออกจากผู้ไม่ติดเชื้อได้รวดเร็ว เป็นการแยกโรคได้อย่างถูกต้องตามหลักสาธารณสุข 2.ปรับวิธีการกักตัวใหม่ โดยกักตัวที่บ้าน มีชุดตรวจเชื้อ ชุดตรวจระดับออกซิเจนในเลือดแบบพกพา หากค่าออกซิเจนต่ำกว่ามาตรฐานต้องรีบแจ้งแพทย์เพื่อส่งตัวทันที พร้อมกับการปรึกษาหมอทางไกลหรือ telemedicine เพื่อตรวจอาการให้คำปรึกษาผู้ติดเชื้อกักตัวในบ้านได้ 3.จัดทีมเฝ้าระวังในทุกเขต ออกสำรวจโรคได้ทันทีที่พบเคส พร้อมประสานงานผู้ติดเชื้อไปโรงพยาบาล 4.รัฐต้องจัดหาวัคซีนเฉพาะหน้าให้เร็วที่สุด เมื่อวัคซีนมีน้อยต้องใช้อย่างเฉพาะเจาะจงที่สุด มุ่งเน้นบุคลากรการแพทย์และกลุ่มเสี่ยง 7 กลุ่มที่อ่อนแอที่สุดก่อน แล้วค่อยขยายวงออกไป 5.รัฐบาลต้องหาวัคซีนให้ได้มากที่สุด วัคซีนต้องมีคุณภาพ เพียงพอ และต้องเปิดเผยความจริงอย่างตรงไปตรงมา เดือนกรกฎาคมถึงกันยายนนี้ เชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตา ที่กำลังระบาดรุนแรงมากกว่าสายพันธุ์แอลฟากว่า 1.4 เท่า จะคร่าชีวิตคนไทยไปเดือนละไม่ต่ำกว่า 1,000-2,000คน
“เมื่อรัฐบาล โดย ศบค. บริหารประเทศจนมีประชาชนติดเชื้อ เจ็บป่วย ล้มตายมหาศาลรายวันขนาดนี้ มันเกินกว่าคำว่าบริหารงานโดยประมาทเลินเล่อ นี่คือการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่จนเกิดการระบาดล้มตาย อาจารย์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยกตัวอย่างไว้ว่าเราสามารถใช้มาตรการทางกฎหมายเอาผิดรัฐบาลได้ ดังนั้นเราจะต้องมีมาตรการทางกฎหมายเพื่อเอาผิดรัฐบาลและ ศบค. เพื่อคืนความยุติธรรมให้กับคนที่เจ็บป่วยและเสียชีวิตจากโควิด ให้ได้รับความยุติธรรม” นพ.ชลน่าน ระบุ
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การระบาดระลอกใหม่ที่รุนแรง บุคลากรทางการแพทย์ต้องร้องไห้ ระบบสาธารณสุขถูกตั้งคำถามว่าจะรับมือได้อีกกี่วัน สภาพใกล้ล่มสลาย วิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตสังคมตามมาติดๆ ไปเพิ่มดีกรีวิกฤตการเมืองให้ร้อนระอุขึ้น คนติดเชื้อ คนเสียชีวิตทำนิวไฮ เสมือนไทยชนะของจริง สัดส่วนผู้ติดเชื้อต่อจำนวนประชากร ไทยแซงจีน แซงอินเดีย ในอาเซียนก็ไทยชนะ สถานการณ์ที่เกิดในวันนี้ทุกฝ่ายเตือนมาตลอด ระวังที่สุดจะถึงจุดที่จะมีคนไม่รู้ว่าติดโควิดมาจากไหน แม้ไทยจะไม่มีวัคซีนครบทุกยี่ห้อ แต่เรามีโควิดครบทุกสายพันธุ์ อัลฟา เบตา เดลตา เดลตาพลัส ทางรอดเดียวที่ต้องไปคือเร่งฉีดวัคซีนให้กับประชาชนให้ได้เร็วที่สุด มากที่สุด เพื่อเร่งให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ซีอีโอไฟเซอร์เตือนแล้วให้รีบสั่ง เพราะเดี๋ยวประเทศใหญ่จะสั่งตัดหน้า แต่เพราะรัฐบาลมั่นใจม้าเต็ง ที่วันนี้กลายเป็นม้าแกลบ ไตรมาสที่ 4 ที่จะมีวัคซีน mRNA อาจจะไม่ทันแล้ว
ปัญหาสำคัญคือรัฐบาลใช้การทหารนำการสาธารณสุข การสาธารณสุข มีแพทย์ทางเลือก มีทางเลือกในการรักษา การทหาร ไม่มีทางเลือก มีแต่รวดเร็ว รุนแรง เปลี่ยนแปลงได้ เลยได้เห็นการออกประกาศตอนตี 1 ใช้ความมั่นคงนำการสาธารณสุข ระวังม็อบ มากกว่าระวังโรค ระบบรำวงต้องเลิก ศบค.ชุดเล็ก ไปชุดใหญ่ แก้ปัญหาไม่ทันโรค ล็อกดาวน์ผิดพลาด เยียวยาล้มเหลว วางแผนวัคซีนผิด ชนิดยอมรับเองเลย ถ้าหาวัคซีนดีๆมาฉีดให้ประชาชนตั้งแต่แรกปัญหาคงไม่หนักขนาดนี้ แต่กลับผิดซ้ำซาก ทำตัวเหมือนร้านข้าวราดแกง บังคับทุกคนต้องกินแกงฟักไก่ เหมือนกันหมด ทั้งที่มีคนที่พร้อมและอยากกินกุ้งแม่น้ำ ล็อบสเตอร์ แต่ห้ามสั่ง กับข้าวหมดยังไงก็ต้องกินแกงฟักไก่ เป็นผู้ร้ายปากแข็ง ถามยี่ห้อไหน มีหมด กำลังจะเข้ามาหมด จนคนสงสัยว่าเป็นวัคซีนทิพย์ เพราะ ไม่มีวัน ว.เวลา น.ที่ชัดเจน วัคซีนบางยี่ห้ออยู่ดีๆ ก็หายไลน์ไม่ตอบ สะท้อนวิธีคิดแบบทหาร คือไม่ผ่อนปรน ไม่มีทางเลือก เคยทำอย่างไร ก็ทำแต่อย่างนั้น เคยเยียวยาไม่ทั่วถึง เคยออกสารพัดแอป ก็ออกแอป
“จนมีคนบอกว่าถ้าชอบออกแอปขนาดนี้ระวังต่อไปถ้าสถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก อาจต้องมีแอปวัดชนะ พระพร้อม คนละเมรุ เรารักสัปเหร่อ ผิดพลาดล้มเหลว ปิดแคมป์คนงาน ไล่คนไปแพร่เชื้อต่างจังหวัด คนรอเตียงกลับได้โลง เยียวยา 5พัน ประกาศไปแล้วบอกว่า เข้าใจผิด ขอยกเลิก ร้านไหนเปิดได้ เปิดไม่ได้ มั่วไปหมด จนมีแฮชแท็ก กูจะเปิดมึงจะทำไม สะท้อนประชาชนไม่เชื่อ วันนี้รัฐบาลถึงทางตัน ต้องถอยยาว ไปต่อไม่ได้แล้ว” นายอนุสรณ์ ระบุ
โดยขอเสนอทางถอยดังต่อไปนี้ 1.เร่งฉีดวัคซีน mRNA ให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าโดยเฉพาะพื้นที่สีแดง 2.แก้ไขปัญหาการบริหารจัดการวัคซีน นำเข้าวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิดทุกสายพันธุ์ให้กับประชาชน 3.เร่งตรวจเชิงรุก โดยอำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการตรวจเชื้อด้วยตัวเอง และเตรียมระบบรองรับการดูแลผู้ติดเชื้อที่บ้าน 4.เร่งเยียวยาประชาชนเดือนละ 5,000 บาท อย่างน้อย 3 เดือน เร่งชดเชยเยียวยาความเสียหายให้กับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ทั้งการยกเว้น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าสถานที่ ลดหรือหยุดดอกเบี้ยสำหรับประชาชนและผู้ประกอบการ 5.ยกเลิกศบค.ไม่ต้องมีทั้งศบค.ชุดเล็ก ชุดใหญ่ เพราะล่าช้า ไร้ประสิทธิภาพ กลับไปใช้โครงสร้างการทำงานปกติ ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องลาออก เพื่อเปิดโอกาสให้ปัญหาวิกฤตได้รับการแก้ไข ตราบที่ยังคงคิดเหมือนเดิม ทำแบบเดิม สถานการณ์ข้างหน้าจะวิกฤติมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนยากที่จะแก้ไข.