พลุ ที่ถูกจุดขึ้นมาจากฟากฝั่ง พลังประชารัฐ กำลังกลายเป็นประเด็นที่กระทบต่อ พรรคเพื่อไทย อย่างเห็นได้ชัด ! และที่กลายเป็น ปัจจัยซ้ำเติม ให้สถานการณ์ของพรรคเพื่อไทย ถูกบีบให้อยู่ในความยากลำบาก ยังมาจาก แกนนำ ของพรรคเพื่อไทย พากัน ขานรับไปกับ เกมการเมือง ภายในพรรคพลังประชารัฐ อีกด้วยต่างหาก
รงค์ บุญสวยขวัญ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ ออกมาจุดพลุว่าด้วยเรื่องการชู บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ว่ามีความเหมาะสมที่จะเป็นนายกฯ ต่อจาก บิ๊กตู่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ที่สามารถนั่งเป็นนายกฯต่อได้อีก 2ปี
แม้ก่อนหน้านี้จะมี สมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย ออกมา เย้ยเยาะ ทำนองว่าพรรคพลังประชารัฐ ถึงคราว หมดตัวเล่น แล้วหรือ ถึงมีข้อเสนอเช่นนี้ แต่จากนั้นไม่กี่วัน ปรากฏว่า แกนนำ ระดับ หัวหน้าพรรค อย่าง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกมาระบุว่า พรรคเพื่อไทยยังไม่มีแนวคิดจะไปจับมือกับใคร แต่ยอมรับว่า บิ๊กป้อม มีข้อดี มากกว่า บิ๊กตู่
และย้ำว่า พรรคเพื่อไทย หากจะจับมือใคร จะไม่เลือกพรรคที่สนับสนุนเผด็จการและสนับสนุน พล.อ. ประยุทธ์อย่างแน่นอน หมายความว่า พรรคเพื่อไทยทิ้งคำตอบแบบ ปลายเปิด เอาไว้ ไม่ได้ตัดไมตรีกับพรรคพลังประชารัฐ หากเลือกชู บิ๊กป้อม ใช่หรือไม่ ?
แน่นอนว่าท่าทีของพรรคเพื่อไทย ย่อมส่งกระทบต่อพรรคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะอย่าลืมว่าเมื่อวันนี้การเมืองไทยแบ่งแยก ขั้ว และ อุดมการณ์ กันอย่างชัดเจน มีการสร้างการรับรู้ว่า พรรคเพื่อไทยยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม พรรคพลังประชารัฐ ดังนั้นหากมีการจับมือกันขึ้นมาจริงๆ จะเท่ากับว่า กองเชียร์ ทั้งสองฝ่ายกำลังถูก หักหลัง หรือไม่
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะพบว่า บรรดาแกนนำพรรคเพื่อไทย ต่างออกมาประกาศจุดยืนชัดเจนว่าพรรคเพื่อไทยยังไม่มีความคิดที่จะ จับมือ เป็นพันธมิตรทางการเมืองกับพรรคใด จนกว่าจะได้เห็นตัวเลขส.ส.จากการเดินหน้าตามเป้าหมายไปสู่ชัยชนะแบบแลนด์สไลด์ก่อน
ล่าสุด ประเสริฐ จันทรรวงทอง ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ต้องประกาศผ่านเฟซบุกพรรค ว่าการแสดงความเห็น เรื่องดังกล่าว เป็นความเห็นส่วนตัว แต่จุดยืนของพรรคแจงสี่เบี้ย ในท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เสียงโจมตีของกองเชียร์ ที่ประกาศเช่นกันว่าหากพรรคเพื่อไทยไปจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ จริง พวกเขาจะตัดสินใจเลือก พรรคก้าวไกล ทันที
สถานการณ์เช่นนี้สำหรับพรรคเพื่อไทย จึงมีแต่ เสีย มากกว่า ได้ อย่างที่เห็น !

