จากประเด็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รับเรื่องร้องเรียนของท่านผู้ทรงเกียรติจำนวน 172 ราย เพราะเห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย และมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ มีมติเอกฉันท์รับเรื่องนี้วินิจฉัย จึงยุติการไต่สวนตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2521 ตามมาตรา 58 วรรคหนึ่ง กำหนดนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือและลงมติ รวมทั้งอ่านคำวินิจฉัยให้คู่กรณีฟังวันพุธที่ 14 ก.ย. 2565 โดยระหว่างการดำเนินการพิจารณาวินิจฉัยข้อเท็จจริงนั้นให้ “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี” หยุดปฏิบัติหน้าที่ “ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย” โดยมิได้มีมติอย่างหนึ่งอย่างใดว่า “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” พ้นตำแหน่งนายกฯ แค่ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เพื่อรอฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 10 ก.ย.
แต่พลันที่มีกระแสข่าวเล็ดลอดออกมาว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย ประดาท่านผู้ทรงเกียรติ ซึ่งพยายามทุกวิถีทางที่จะหักขาเก้าอี้นายกรัฐมนตรีเพื่อชิงอำนาจรัฐมาสร้างผลประโยชน์ทางการเมืองแก่ตนเองและพวกพ้องก็ผุดวาทกรรมราวกับว่าศาลมีคำวินิจฉัยให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ความลิงโลดนี้เองนำไปสู่การไม่มีกาลเทศะไร้สามัญสำนึกเปลี่ยนโปรไฟล์บนแฟนเพจตนเองเพื่อให้ส่ำสัตว์ที่ติดตามให้การสนับสนุนเข้าใจไปในทิศทางเดียวกันว่าพ้นหน้าที่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วด้วยการติด #นายกเถื่อน เปลี่ยนโปรไฟล์เป็นสีดำแต่งกายไว้ทุกข์ชุดดำ พร้อมข้อความว่า พรรคเพื่อไทย ไว้อาลัยและต่อต้าน#นายกเถื่อน
นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทยเป็นนักเรียนไอคิวสูงจบการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล จบปริญญาโทรัฐประศาสนศาสตร์มหาบัณฑิตจากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์หรือนิด้า เคยเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กระทั่งได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้พ้นจากความเป็นรัฐมนตรีในเดือนมิถุนายน 2556
เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร โดยนายแพทย์ชลน่านได้รับโปรดเกล้าฯภายหลังจากพรรคเพื่อไทยมีมติเลือกนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว เป็นหัวหน้าพรรคแทนนายสมพงษ์อมรวิวัฒน์ ต่อมาเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2564 ก็มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้นายสมพงษ์พ้นจากความเป็นผู้นำฝ่ายค้าน และโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายแพทย์ชลน่าน เป็นผู้นำฝ่ายค้าน
ประสบการณ์ที่ผ่านมาจึงเป็นไปไม่ได้เลยว่า หัวหน้าพรรคเพื่อไทยไม่ทราบขั้นตอน, วิธีการการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ยกเว้นแกล้งโง่ และเจตนาบิดเบือนข้อเท็จจริง การดำเนินการของนายแพทย์ชลน่านมิเท่ากับหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างนั้นหรือที่บังอาจเรียกนายกรัฐมนตรีที่ยังไม่มีการโปรดเกล้าฯให้พ้นจากตำแหน่งเป็น “#นายกเถื่อน” เช่นนี้
ความเป็นนายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชายังไม่สิ้นสุดลงจนกว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยว่าการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีขัดบทบัญญัติตามมาตรา 158 วรรคสี่ในรัฐธรรมนูญ และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้พ้นจากความเป็นรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีจึงมิใช่ “นายกเถื่อน”
#นายกเถื่อนนั้นอนุมานได้ว่าต้องการให้สังคมมองว่าพลเอกประยุทธ์กระทำผิดบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะจริงหรือไม่คงต้องรอคำวินิจฉัย ช้าไปอีกหน่อยคงไม่มีใครขาดใจตายกระมัง และนี่คือความผิดที่เกิดจากความบกพร่อง โดยสุจริตใจที่เกิดจากบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญไม่ใช่ “นายกเถื่อน” ที่ถูกศาลพิจารณาพิพากษาว่ากระทำความผิดต้องโทษอาญาและต้องเข้าเรือนจำ แต่หนีคดีอาญาไม่รับผลกรรมที่กระทำไว้
จึงว่าที่ “คุณอ้น-ทิพานัน ศิริชนะ” รองโฆษกรัฐบาลกล่าวถึง #นายกเถื่อนอยู่ดูไบนั้นชอบแล้ว